Friday, 13 September 2013

"ฝ่ายอำมาตย์แท้" ไม่ยอมแพ้ทักษิณ

'เกมวัดใจใครอึดกว่ากัน' เอกยุทธเขียนไว้ก่อนตาย : รายงานพิเศษ

ในที่สุด เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ของ เอกยุทธ อัญชันบุตร ก็ปิดตัวลง โดยมีการแสดงความไว้อาลัยที่หน้าแรกของเว็บไซต์ มีภาพ "เอกยุทธ" พร้อมกับข้อความภาษาอังกฤษว่า REST IN PEACE Akeyuth Anchanbutr

สำหรับไทยอินไซเดอร์ เป็นเว็บไซต์ที่เสนอข่าวและบทวิเคราะห์ มีเอกยุทธเป็นเจ้าของ และใช้นามปากกาว่า "ไต่กอ" เขียนคอลัมน์ "ซุบซิบไทยอินไซเดอร์" ซึ่งเป็นจุดขายของเว็บข่าวนี้

ข้อเขียนชิ้นสุดท้ายของเอกยุทธ หรือ "ไต่กอ" นั้น พาดหัวค่อนข้างหวือหวา "ดีแต่แหลแถมแถตลอด! น้ำกระฉอก-สึนามิถล่ม เกมวัดใจใครอึดกว่ากัน บทพิสูจน์อยู่ที่ผู้คุมเกม"

เอกยุทธได้เปิดเผยข้อมูลว่า ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา มีนักการเมืองไทยเดินทางไปอังกฤษกันมากหน้า โดยก๊วนการเมือง "เจ๊ซาลาเปาแดง" โดยมีการนัดหมายกับ "คนแดนไกล" ที่ร้านอาหาร Royal China ย่าน Baker Street กลางกรุงลอนดอน

ว่ากันว่า "เจ๊ซาลาเปาแดง" ต้องการพาเสนาบดีหลายคนไปเคลียร์เรื่อง "ปรับ ครม." เพราะคนพวกนี้กลัวว่าตัวเองจะหลุดจากเก้าอี้ แถมมีการพูดคุยเรื่องการจัดสรรเก้าอี้เสนาบดีใหม่ ซึ่งเอกยุทธ ระบุว่า จะมีตัวแทนคนเสื้อแดงได้ 2 ตำแหน่ง อันเป็นแผนยื้อสู้กับ "ขั้วตรงข้าม" ด้วยการซื้อใจคนเสื้อแดง

ที่น่าสนใจในงานเขียนชิ้นสุดท้ายคือ เอกยุทธได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบันว่า 'เกมวัดใจใครอึดกว่ากัน'เอกยุทธเขียนไว้ก่อนตาย
เป็นมหากาพย์ "อำมาตย์ VS ทุนทักษิณ" รอบใหม่

"เริ่มเห็น "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" V for Thailand ที่เวลานี้ ลามไปทั่วทุกจังหวัดแล้ว...และนี่คือสัญญาณบ่งบอกว่า...จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว...เพราะ "กลุ่มเป้าหมาย" ต่างกัน...จึงจำต้องอาศัย "พวกจูงจมูกง่าย" มาชนกับ "พวกมีความคิด" จะเห็นว่า "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" นี้...ที่นัดหมายกันแล้วจุดติดอย่างรวดเร็วนั้น...ล้วนเกิดจาก "โลกสังคมออนไลน์" ที่ "คนมีความคิด-คนมีความรู้-คนรู้ผิด-คนรู้ชั่ว" ต่างนัดรวมตัวกันโดยนัดหมาย..."

เอกยุทธมองว่า ฝ่ายขั้วทักษิณประเมินพลาด และชะล่าใจที่คิดว่า ฝ่ายต่อต้านอ่อนแอ แตกแยก และรวมกันไม่ติด

"จากเดิมที่ "พรรคเก่าแก่" เล่นบทนวดทุกวันเสาร์ในเวที "ผ่าความจริง" ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งเวลานี้ก็ปาเข้าไป 50 กว่าจังหวัดแล้ว...พอมาเจอ "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" เล่นบทนวดทุกวันอาทิตย์...ที่ลามกันไปหลายจังหวัด ตามสถานที่ต่างๆ ก็เป็นการบ่งบอกได้ดีว่า "การทวงคืนความยุติธรรม" กำลังกลับคืนมา เพื่อมิให้ "คนตระกูลหนึ่ง" กินรวบประเทศไทยอีกต่อไป"

อดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ ยังอ่านใจ "ทักษิณ" ว่า มั่นใจในเกมเลือกตั้ง เลือกกี่ครั้งก็ชนะ จึงชิงปิดเกม "ขั้วตรงข้าม" ไม่ให้ก่อตัวลุกลาม

"งานนี้ "ผู้คุมเกมฝั่งอำมาตย์แท้" แอบกระซิบ "ไต่กอ" ว่า...ศึกรอบนี้วัดกันที่ "ใครอึดกว่ากัน"...ถ้าอยากอยู่นานๆ ก็อยู่ไป...แต่ถ้าคิดว่า จะชิงความได้เปรียบจากเรื่องเงิน ก็คอยดูกัน...ว่า "ผลลัพธ์" จะเป็นอย่างไร??? "ไต่กอ" ได้ฟังเช่นนี้...บอกได้คำเดียวว่า "ผู้คุมเกมฝ่ายไหน" อึดกว่ากัน...มีความได้เปรียบสูง"

เอกยุทธนั้นได้ชื่อว่า มีเส้นสายในฝั่ง "อำมาตย์แท้" มาตั้งแต่ปี 2547 อันเป็นปีแรกที่เขากลับเมืองไทย หลังจากห่างหายไปนานกว่า 20 ปี และประกาศศึก "ล้มทักษิณ" จนตกเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม

9 ปีที่แล้ว เอกยุทธเคลื่อนไหวในเชิงลึก เตรียมจัดตั้ง "พรรคการเมืองทางเลือก" โดยตัวเขาออกเดินสายพบปะผู้คนในยุทธจักร ไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง

ครั้งที่ 1 เอกยุทธได้ร่วมปรึกษาหารือกับกลุ่มเอ็นจีโอ นักวิชาการมหาวิทยาลัย สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ที่ร้านอาหารศรแดงเมธาลัย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองทางเลือก

ครั้งที่ 2 เอกยุทธได้ร่วมกับกลุ่มที่ปรึกษาของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เอ็นจีโอและนักวิชาการที่ร้านอาหารไดนาสตี้ ไฮแอทเซ็นทรัล ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เตรียมจัดตั้งพรรคประชาธรรม (ขณะนั้น เสธ.หนั่น ยังไม่ได้ก่อตั้งพรรคมหาชน และอยู่ระหว่างการศึกษาหาทางตั้งพรรคใหม่)

ครั้งที่ 3 เอกยุทธได้นัดปรึกษาหารือกับคณะของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ภัตตาคารโฟร์ซีซั่นส์ และไปต่อที่ร้านกำทอง กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ข้อสรุปว่าจัดตั้งพรรคมหาชน

ครั้งที่ 4 เอกยุทธร่วมกับเอ็นจีโอและนักวิชาการอิสระ ไปทาบทามบุคคลสำคัญสองคนให้ลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อวัตถุประสงค์ในการเปิดตัวพรรคการเมืองทางเลือก

ครั้งที่ 5 เอกยุทธปฏิเสธพรรคมหาชน ก็ไปปรึกษาหารือกับแกนนำยังเติร์กรุ่น 7 นักวิชาการ และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน อย่างต่อเนื่องหลายครั้ง เพื่อเดินหน้าจัดตั้งพรรคประชาธรรม (ตอนหลังเขาพับแผนทิ้ง เพราะ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ไม่เอาด้วย)

ครั้งที่ 6 เอกยุทธร่วมกับคณะของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และอมรินทร์ คอมันตร์ เข้าพบคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือและเสนอแนะเปลี่ยนเป็นนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ

หลังจากแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาปฏิเสธข่าวเอกยุทธจะทุ่มเงินพันล้านช่วย ปชป. อดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ก็หันไปเดินการเมืองนอกสภา ร่วมกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ, ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และอมรินทร์ คอมันตร์

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2547 "คณะประชาชนเพื่อชาติ และราชบัลลังก์" ได้จัดการชุมนุมมวลชนที่ท้องสนามหลวง แต่ยุทธการครั้งนั้นน็อกทักษิณไม่ลง จึงต้องเก็บฉากเก็บเวทีกลับบ้าน

จากอดีตจนถึงช่วงก่อนที่เขาจะถูกอุ้มฆ่า เอกยุทธมิเคยหยุดคิดโค่นทักษิณ และตัวเขาเติบโตทางธุรกิจด้วย "คอนเนกชั่นทหาร" จึงเชื่อในอำนาจพิเศษ เหมือนที่เขาเขียนคอลัมน์บทสุดท้ายว่า "ฝ่ายอำมาตย์แท้" ไม่ยอมแพ้ทักษิณ
...............................
(หมายยเหตุ : 'เกมวัดใจใครอึดกว่ากัน' เอกยุทธเขียนไว้ก่อนตาย : รายงานพิเศษ)
นสพ. คมชัดลึก

ไซยาไนด์ในเหมืองแร่ทองคำ

             

นับตั้งแต่ปี 2430 สารไซยาไนด์ได้ถูกนำมาใช้ในกิจการเหมืองแร่เพื่สกัดแร่ทองคำ และโลหะอื่นๆ เช่น ตะกั่ว เงิน ทองแดง เป็นครั้งแรกที่แอฟริกาและนิวซีแลนด์ เพราะทองคำมักพบในแร่คุณภาพต่ำ คือมีปริมาณไม่เกิน 10 กรัมใน 1 ตัน

แต่หากแยกทองคำออกจากแร่ด้อยคุณภาพด้วยวิธีบด หรืออาศัยความแตกต่างของความถ่วงจำเพาะ การแยกทองคำออกมาจะไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้การแยกทองคำด้วยสารไซยาไนด์ได้รับความนิยมในเหมืองแร่ทองคำโดยทั่วไป เพราะสามารถสกัดทองคำได้มากกว่า 90%

                นอกจากการใช้ไซยาไนด์แล้ว ยังมีสารเคมีอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้งานในลักษณะเดียวกัน เช่น คลอไรด์ โบรไมด์ ไทโอยูเรีย และไทโอซัลเฟต แต่สารประกอบเชิงซ้อนของทองคำกับสารเหล่านี้ ”เสถียร” น้อยกว่าสารเชิงซ้อนของไซยาไนด์ และยังเสี่ยงต่อมนุษย์ สัตว์ สิ่งแวดล้อมสูง และราคาแพง จึงไม่นิยมนำมาใช้

การผลิตทองคำด้วยไซยาไนด์
                1.บดแร่ที่ขุดได้ตามขนาดที่ต้องการ
                2.ผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อแยกโลหะ เช่น ทองคำ เงิน และทองแดง ออกจากสินแร่
                3.นำโลหะผสมที่สกัดได้ไปหลอม (smelting)
                4.แยกทองคำให้บริสุทธิ์ (refining)
                5.นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ

พิษของไซยาไนด์
                สารเคมี ไซยาไนด์ มีความเป็นพิษสูง พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมาจากกระบวนการทางธรรมชาติ และกิจกรรมต่างๆ ในอุตสาหกรรม ไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางปาก การหายใจ และการดูดซึมผ่านผิวหนังและตา

                ระดับความรุนแรงจากพิษไซยาไนด์ขึ้นกับ 4 ปัจจัย คือ

  1. ประเภทของสิ่งมีชีวิต 
  2. ระยะเวลาการได้รับ 
  3. ปริมาณที่ได้รับ และ
  4. เส้นทางการได้รับ เช่น การหายใจ การกลืน หรือการฉีด


                มนุษย์ เมื่อสัมผัสหรือสูดดมไซยาไนด์ปริมาณสูงที่กระจายอยู่ในอากาศแค่เพียงเวลาสั้นๆ จะส่งผลต่อการทำงานของสมองและหัวใจ เพราะสารเคมีชนิดนี้จะรวมตัวกับเอมไซม์ที่มีชื่อว่า cytochrome oxidase ซึ่งทำหน้าที่ขนย้ายอิเล็กตรอนในกระบวนการสังเคราะห์ ATP (AdenosinTriphosphate) กลายเป็นสารเชิงซ้อนที่มีความเสถียรสูง ทำให้เซลล์ไม่สามารถใช้ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในกระแสเลือดได้เต็มที่ จนกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายมนุษย์เปลี่ยนจากสภาวะที่ใช้ออกซิเจน เป็นสภาวะที่ไร้ออกซิเจน ทำให้เกิดการสะสมแลคเตทเอาไว้ในเลือดสูง สุดท้ายก็เกิดการกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การหายใจหยุดชะงักและเสียชีวิตได้ในที่สุด

                การสัมผัสไซยาไนด์ แม้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด ปวดหัวใจ อาเจียน ปวดศีรษะ และต่อมไทรอยด์ขยายตัว ส่งผลให้มือและเท้ามีอาการอ่อนแรง ทรงตัวไม่ได้ ตาพร่ามัว และหูอื้อ

                นก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในน้ำ และปลา เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความไวต่อไซยาไนด์มาก ปลาหลายชนิดอาจมีความสามารถในการว่ายน้ำและการสืบพันธุ์ลดลง ระบบการหายใจขัดข้อง ระบบการเจริญเติบโตผิดปกติ และตกเป็นเหยื่อได้
             

หมายเหตุ - ข้อมูลจาก ปริษา จารุวาระตระกูล : ไซยาไนด์กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (พ.ศ.2550)


Click ดูจาก Youtube 



ภัยจากนามบัตร(Burundanga) ประเมินข้อเท็จจริงจากข้อมูลที่ได้

เมื่อสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ "เบอร์อุนแดนก้า" (Burundanga) พบว่า มีเมลส่งต่อ (forward mail) เกี่ยวกับเบอร์อุนแดนก้าเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเริ่มส่งให้กันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 

ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วคาดว่าอีเมล ‘ภัยจากนามบัตร’ จากหนังสือพิมพ์มติชน เป็นข้อความที่แปลออกมา
  • นักวิจารณ์ชาวอเมริกันได้วิเคราะห์เมลส่งต่อฉบับนี้ไว้ว่ามีจุดที่น่าสงสัย 2 ประการ ได้แก่
     1.   ผู้ส่งเมลเล่าว่ามีอาการหลังจากที่สัมผัสกับนามบัตร  แต่ระยะเวลาการเริ่มออกฤทธิ์จากการสัมผัสสารสโคโปลามีนสารต้องมีระยะเวลาที่นานกว่านี้ (ใช้เวลาเป็นชั่วโมง)

     2.   ผู้ส่งเมลเล่าว่าได้กลิ่นจากมือ ซึ่งมาจากการจับนามบัตร แต่จากเอกสารอ้างอิงมาทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าสารสโคโปลามีนไม่มีกลิ่น

            นอกจากนี้ไม่เคยมีแหล่งข่าวที่ยืนยันว่ามีการก่อคดีเช่นนี้จริงในสหรัฐอเมริกา จึงขอสรุปว่าข้อมูลอีเมลส่งต่อเรื่อง ‘ภัยจากนามบัตร’ ฉบับนี้ ไม่เป็นความจริง  

ข้อมูลทางวิชาการของเบอร์อุนแดนก้า (Burundanga)

เบอร์อุนแดนก้า เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกยาสโคโปลามีน (scopolamine)

  Scopolamine (Hyoscine)

ในอเมริกาใต้มีเรื่องเล่าลือซึ่งเกี่ยวข้องกับเบอร์อุนแดนก้าว่าเป็นสารที่กินเพื่อให้เกิดภาวะเหมือนจิตที่เข้าฌานหรือทรงเจ้าในพิธีของหมอผี 

มีรายงานการใช้ยานี้เพื่อก่ออาชญากรรมครั้งแรกในประเทศโคลัมเบีย ในช่วงทศวรรษ1980 และตามที่รายงานไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ใน Wall Street Journal ปี 1995 (รายละเอียดตามแนบ) ว่ามีการใช้เบอร์อุนแดนก้าช่วยในการก่ออาชญากรรมระบาดมากในช่วงทศวรรษ1990  บทความกล่าวว่าการใช้ก่ออาชญากรรมที่พบคือ จะให้เหยื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีเบอร์อุนแดนก้าผสมอยู่  ต่อมาเหยื่อจะตื่นขึ้นมาในสถานที่ห่างออกไป มีอาการมึนงงมาก และจำเรื่องราวไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าวของเงินทองหายไป แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าใจว่าลดลงเหมือนกับการเกิดอาชญากรรมอื่นๆ แล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังคงเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังอาชญากรในโคลัมเบียที่จะใช้ยามอมนักท่องเที่ยวเพื่อให้ไร้ความสามารถชั่วคราว

สโคโปลามีนมีที่ใช้ในทางการแพทย์หลายรูปแบบได้แก่ ยาฉีด ยาเม็ดรับประทาน และแผ่นแปะ
ข้อบ่งใช้ จะแตกต่างกันขึ้นกับรูปแบบของยาที่ให้
  • ยาฉีด เป็นยาที่ให้ก่อนการผ่าตัดเพื่อให้สูญเสียความจำ สงบระงับ และลดการหลั่งน้ำลายและลดสารหลั่งจากทางเดินหายใจ
  • ยารับประทาน  ใช้รักษาโรคพาคินสัน  โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome, IBS)  ป้องกันอาการเมารถเมาเรือ 
แผ่นยาแปะที่มีขายในต่างประเทศ
  • แผ่นยาแปะ ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกี่ยวกับการใช้ยาสลบหรือยาแก้ปวดกลุ่มโอปิเอต ป้องกันอาการเมารถเมาเรือ
  • กลไกการออกฤทธิ์   ยับยั้งการทำงานของ acetylcholine ที่ พาราซิมพาเธติกบริเวณ กล้ามเนื้อเรียบ ต่อมคัดหลั่งและระบบประสาทกลาง
    • ขนาดยา ยาเม็ด 10 มก. รับประทาน 1-2 เม็ด วันละ 3 เวลา   
    • ยาฉีด 20 มก/มล ให้ไม่เกิน 1.5 มก/กก/วัน
    ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์      
    • รับประทาน และฉีดเข้ากล้าม 0.5-1 ชั่วโมง  
    • ฉีดเข้าเส้น 10 นาที 
    • แผ่นยาแปะ 4 ชั่วโมง
    แบบแผ่นแปะมีสโคโปลามีน 1.5 มก. และจะปล่อยตัวยาประมาณ 1 มก.ในเวลา 3 วัน
    ระยะเวลาการออกฤทธิ์      
    • รับประทาน และฉีดเข้ากล้าม 4-6 ชั่วโมง  
    • ฉีดเข้าเส้น 2 ชั่วโมง 
    • แผ่นยาแปะ 3 วัน
    อาการไม่พึงประสงค์ต่อระบบประสาทกลาง สับสน ง่วงซึม ปวดศีรษะ สูญเสียความทรงจำ กล้ามเนื้อแขนขาทำงานไม่ประสานกัน  เหนื่อยล้า


    การจัดประเภทตามกฎหมาย  จัดเป็นยาอันตราย ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510
    ที่มา : กลุ่มวิจัย พัฒนา และระบาดวิทยา  กองควบคุมวัตถุเสพติด 20 มกราคม 2552

    เตือนภัย “นามบัตร ใบปลิว แผ่นพับ”



    ภัยจากนามบัตร

    หญิงคนหนึ่งไปเติมแก็สที่ปั้มแก็สมีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้ หญิงคนนั้นก็รับมาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วยสักครู่เมื่อขับรถออกมาจากปั๊มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถตามมา และเธอก็รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรีบเปิดหน้าต่างและตระหนักว่า กลิ่นนั้นมาจากมือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น เธอตัดสินใจขับรถและกดแตรไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ

    ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไปยาที่ป้ายบนนามบัตรคือ ยา BURUNDANGA เพิ่อให้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วไอ้ตัวร้ายก็จะขโมยของและ/หรือข่มขืนเราโดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่าดังนั้น อย่ารับกระดาษ นามบัตร แผ่นพับ ใบปลิว จากคนแปลกหน้า...

    เรื่องนี้มีผู้แย้ง..ว่าเป็น forward เมล์ไปทั่วนานมาแล้ว ผู้เขียนได้มา แต่ก็ยังสงสัยว่าเป็นเรื่องน่าเชื่อถือหรือไม่ เกี่ยวกับ Burndanga เป็นอะไรเลยไปคนคว้าเพิ่มเติม พบว่า Burundanga เป็นสารที่มีฤิทธิ์ แบบนี้...




    Thursday, 12 September 2013

    สมาธิเปลี่ยนแปลงสมอง ให้ขยายเพิ่มเติมได้


    ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard J Davidson, Ph.D) ได้ทำการศึกษาในพระทิเบตรูปหนึ่งชื่อ พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 20-30 ปี เมื่อตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI

    ก็พบว่า คนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานานๆ สมองมีส่วนเปลือกนอกสีเทาๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาท จะหนาตัวขึ้น นั่นหมายถึง มีเซลล์สมองเพิ่มขึ้น และบริเวณส่วนหน้าแถวหน้าผากด้านซ้าย จะมีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น ที่เรียกว่า “คลื่นแกรมม่า” ซึ่งพบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึกๆ



    ต่อมา เขาได้ทดลองในอาสาสมัครที่ฝึกสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาที เช้าและเย็น เป็นเวลา 3 เดือน แล้วตรวจดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน แสดงว่า สมองคนเรามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างและการทำงาน ซึ่งเขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้นพบใหม่ และได้ทำลายความเชื่อเก่าที่ว่า สมองเปลี่ยนแปลงไม่ได้



    เขาได้ทดลองทั้งแบบสมถและวิปัสสนากรรมฐานก็พบว่า ได้ผลเช่นเดียวกัน สมองของคนเราสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาโดยการเจริญสติ ทำให้สมองสร้างเซลล์สมองใหม่ๆมากขึ้น การทำงานดีขึ้น คลื่นสมองสม่ำเสมอ ช้าลง ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่มีความสุข สุขภาพจิตดี


    นอกจากนั้น เขายังได้ศึกษากรณีของอารมณ์เครียด อารมณ์โกรธ และอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองในทางตรงข้าม คือมันทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมลง และเซลล์อายุสั้นลง


    ที่มา : สมองพัฒนาได้ ด้วยการเจริญสติ
    (ผู้จัดการออนไลน์)

    Wednesday, 11 September 2013

    เปิดขุมทรัพย์ "ประชา มาลีนนท์"

    นายประชา มาลีนนท์ เมื่อครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินตามข้อมูลที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายื่นบัญชีกรณีพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี เมื่อ 19 กันยายน 2550 จำนวน 623,983,743.77 บาท หนี้สิน 3,722,094.55 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 620,261,649.22 บาท ประกอบด้วย


    เงินฝาก 218,108,123.77 บาท เงินลงทุน 21 รายการมูลค่า 148,682,070 บาท (ดูตาราง) เงินให้กู้ยืมบริษัทเธียรราชาการก่อสร้าง จำกัด มูลค่า 24 ล้านบาท ที่ดิน 82 แปลง มูลค่า 154,905,333 บาท บ้าน 1 หลัง มูลค่า 50 ล้านบาท คอนโดมีเนียม 4 ห้องมูลค่า 6,825,342 บาท รถยนต์ 2 คัน มูลค่า 11,172,100 บาท ทรัพย์สินอื่น 10,290,775 บาท


    นางแพตตรีเซียแมรี่ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 55,950,993.79 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 11,671,052.90 บาท เงินลงทุนบริษัทจดทะเบียน 3 บริษัทมูลค่า 9,916,250 บาท หลักทรัพย์จดทะเบียน 25 รายการมูลค่า 19,963,690.89 บาท ทรัพย์สินอื่น 14,400,000 บาท ไม่มีหนี้สิน


    รวมสองคน มีทรัพย์สิน 676,212,643.01 บาท


    ในจำนวนเงินลงทุน 21 รายการ มากที่สุดคือ บริษัท มาลีนนท์ ทาวเวอร์ จำกัด 1,000,000 หุ้น มูลค่า 100 ล้านบาท


    ทั้งนี้ นายประชา เป็นผู้ก่อการจัดตั้งบริษัท ทีวีบี ทรี เน็ตเวอร์ค จำกัด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2539 ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีบริษัท ทีวีบี(โอเวอร์ซีส์) จำกัด มีที่อยู่ เซด้าร์เฮ้าส์ 41 เซดาร์ อเวนิว แฮลมินตัน เอชเอ็ม 12 ประเทศเบอร์มิวด้าร่วมถือหุ้น


    ปัจจุบัน นายประชา เป็นกรรมการบริษัทที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 20 บริษัท ได้แก่


    บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)

    บริษัท เวฟ ทีวี จำกัด

    บริษัท เวฟ มีเดียโปรดักชั่น พลัส จำกัด

    บริษัท เวฟ ทีวี แอนด์ มูฟวี่ สตูดิโอส์ จำกัด

    บริษัท ซีวีดี ออแกไนเซอร์ จำกัด

    บริษัท พี.เอ็ม. แอดไวเซอรี จำกัด

    บริษัท พี.เอ็ม. เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด

    บริษัท ซีวิว คอนโดมิเนียม จำกัด

    บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด

    บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด

    บริษัท พรหมนำชัย จำกัด

    บริษัท พัทยา แลนด์ แอนด์ วิลล่า จำกัด

    บริษัท มาดี มาดี จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ เพลส จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ เรสซิเด้นซ์ จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ แลนด์ จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ วิลล่า จำกัด

    บริษัท มาลีนนท์ แอสเซท จำกัด

    บริษัท เมืองทองการก่อสร้าง จำกัด

    นายประชาถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,950,000,000 หุ้น (4.94%) มูลค่า 5,950,000,000 บาท บริษัท บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) 3,000,000 หุ้น มูลค่า 30 ล้านบาท โดยบมจ.เวฟ และ บริษัท พี.เอ็ม. เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ถือหุ้นในบริษัทอื่นอีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ธุรกิจหลังงานของนายประชาซึ่งมีทุนจดทะเบียน 1,365 ล้านบาท (ร่วมหุ้น ปตท.) เบ็ดเสร็จฐานธุรกิจนายประชามากกว่าหมื่นล้านบาท


    ขณะที่ตระกูลมาลีนนท์มีบริษัททั้งสิ้น 110 บริษัท เปิดดำเนินการในปัจจุบันประมาณ 50 บริษัท

    ที่มา : สำนักข่าอิศรา

    อายุความของนายประชา มาลีนนท์ และพลตำรวจตรีอธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ

    กรณีของนายประชา มาลีนนท์ และพลตำรวจตรีอธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ พิพากษาลงโทษจำคุก 12 ปี และ 10 ปี ตามลำดับนั้นอยากขอเพิ่มเติม เนื่องจากมีผู้เข้าใจผิดว่า "ไม่มีอายุความ"

    โดยอ้างว่า เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 74/1 ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่างดำเนินคดี มิให้นับระยะเวลาที่หลบหนีเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ

    ขอเรียนว่า กรณีตามมาตรา 74/1 ดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา เช่น ผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ซ.กำลังดำเนินการไต่สวน หรือในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาสืบพยานโจทก์หรือพยานจำเลยยังไม่เสร็จ จำเลยหลบหนี จึงไม่ให้นับเวลาที่หลบหนีว่าเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ

    แต่กรณีของนายประชา มาลีนนท์ และพลตำรวจตรีอธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงนำมาตรา 74/1 มาใช้บังคับไม่ได้

    ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 คือ มีอายุความ 15 ปี ทั้งสองคน ครับ

    โดย : นายชูชาติ ศรีแสง

    ของแพงไม่ใช้แค่ความรู้สึก ...จริงๆ นะ ตอนที่ 1- 2

    ของแพงไม่ใช้แค่ความรู้สึก ...  
    ผลกระทบจากการที่ค่าครองชีพต่างๆ ปรับตัวขึ้น
    กรมพาณิชย์พูดแค่ครึ่งเดียวนี่หว่า ...