Friday 11 October 2013

มดจากดาวอังคาร (Ant from Mars)

เป็นมดที่ค้นพบใหม่ล่าสุดจากลุ่มน้ำ
อเมซอนในปี 2003 

ซึ่งเป็นการค้นพบสายพันธุ์มดครั้งล่าสุดนับไปจาก
ตั้งแต่ปี 1967 เป็นต้นมา

ซึ่งครั้งนั้นเป็นการคนพบจากซากฟอสซิล






โดยที่ใช้ชื่อ Ant from Mars เพราะว่าเป็นมดหน้าตาประหลาดที่ไม่เคยถูกพบเห็นที่ไหนมาก่อนเหมือนนักล่าจากดาวอังคารในหลังนั่นละครับ เจ้ามดที่ว่านี้เป็นมดนักล่าอาศัยอยู่ใต้ดินมีลำตัวค่อนข้างยาวตาบอดสนิทมีปากยาวๆไว้คอยจับเหยื่อครับ



ผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศ แข็งแรงที่สุดในโลก ( world’s strongest vagin )

Tatiata Kozhevnikova คือ หญิงสาวชาวรัสเซียที่ได้รับการบันทึกจาก กินเน็สบุ๊ค ว่าเป็น ผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศแข็งแรงที่สุดในโลก เนื่องจากเธอสามารถ ใช้ตรงนั้นยกสิ่งของที่หนักได้ถึง 14 กิโลกรัม








อย่างแรกก็ต้องมี "ลูกบอลทรงรักบี้" 
มีเชือก และคลิปสำหรับหนีบลูกเหล็ก

Tatiata กล่าวว่า หลังจากคลอดเธอมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อบริเวณ ช่องคลอดอ่อนแอมาก ( คาดว่าทำให้มีทำใ้ห้มีปัญหาเรื่องการอั้นปัสสาวะ ) ทำให้เธอคิดว่าคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว และเธอก็เริ่มออกกำลังกายอวัยวะตรงนั้น โดยใช้ Murano ball แต่มันมีปัญหาคือมันยากที่จะนำออกจากช่องคลอด แต่เธอก็ไม่ถอย แต่มาเธอจึงประดิษฐบอลที่เหมาะสมกับช่องคลอด ขึ้นมาเอง และฝีกฝนจนสำเร็จยุทธ์ในที่สุด




อุปกรณ์พร้อม ก็ต้องเปลี่ยนชุดสำหรับโชว์ ให้สวยเสียก่อน และกันอุจาดตา
นำคลิปไปเกี่ยวกับลูกเหล็กที่จะแสดงโชว์
สร็จก็ค่อย ยัดลูกบอลทรงรับบี้เข้า .........


เมื่อเสร็จ จะลุก จะโฟสท์ท่าอย่างไรก็ไม่หลุด


จะโก้งโค้งเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาก็ไม่หลุด (เจ๊แกแข็งแรงจริงๆ)


.....................................................................................................
ที่มา:
http://wowboom.blogspot.com
http://www.odditycentral.com/news/the-worlds-strongest-vagina.html

สัตว์ประหลาดจากต่างดาว !

สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีคุณสมบัติหลักๆ คือ อึด ทน ถึก !!

ลองดูกันนะครับเพื่อนๆ ว่าเคยเห็นเจ้าพวกนี้หรือเปล่า ผมไปอ่านเจอเห็นว่าเป็นเรื่องดีๆ แปลกๆ เลยเอามาแบ่งกันนะครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า...

หมีน้ำ (Water bears)


เจ้าหมีน้ำนี้ดูจะเป็นสัตว์ประหลาดจากต่างดาวจริงๆ นะครับเพราะมันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในอวกาศมากกว่า 10 วัน ได้โดยไม่ต้องมีชุดอวกาศเลย ซึ่งยังเป็นความลับที่นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นหากันต่อไปครับ เจ้าหมีน้ำนี้จริง ๆเป็นสัตว์ตัวเล็กจิ๋วมากโดยมีขนาดแค่ 0.1 - 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้นครับ อาศัยอยู่กับมอสและไลเคน และสามารถมีชีวิตอยู่ภายใต้อากาศที่แห้งแล้งได้

หมีน้ำ สัตว์ทรหดเข้าขั้น กึ่งอมตะ

Tardigrades หรือที่รู้จักกันในชื่อ หมีน้ำ( Water Bear ) เป็นสัตว์ขนาดเล็กเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 1.5 มิิลลิเมตร มีแปดขา ที่สามารถพบได้ทั่วไปทั่วโลก และสามารถดำรงณ์ชีวิตได้เกือบทุกสถาวะ จนเข้าขั้นกึ่งอมตะ


ข้อมูลทั่วไป

  • หมีน้ำถูกค้นพบครั้งแรกโดย Johann August Ephraim Goeze ในปี 1773
  • คำว่า Tardigrades มีความหมายว่า เจ้าตัวเดินช้า( Slow Walker )
  • ส่วนชื่อ หมีน้ำ ( Water Bear ) นั้นมาจากท่าทางการเดินของพวกมัน
  • เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเพียง 1.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวที่เล็กที่สุดมีขนาดเพียง 0.1 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงตัวอ่อนมีขนาดเพียง 0.05 มิลลิเมตร
  • หมีน้ำมีมากกว่า 1000 สายพันธุ์ โดยมากเป็นพวกกินพืช ส่วนน้อยกินแบคทีเรีย และกินสัตว์
  • หมีน้ำสามารถพบได้ทั่วโลก ตั้งแต่ที่ยอดเขาหิมาลัย(Himalayas) ที่ความสูงกว่า 6,000 เมตร จนถึงในทะเลลึกถึง 4,000 เมตร ไม่ว่าจะเป็นที่ขั้วโลก หรือในบริเวณเส้นศูนย์สูตร
  • หมีน้ำชอบอาสัยอยู่ที่ต้นมอส และพวกเห็ด รา ต่างๆ แต่ยังสามารถพบได้ตาม ทราย ชายหาด ดิน แร่ธาตุ และในตะกอนน้ำ
  • ร่างกาย เป็นท่อน 4 ท่อน(ไม่รวมส่วนหัว) ในแต่ละท่อนมี 2 ขา ในแต่ละขามีเล็บ

ทำไมหมีน้ำถึงได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ ทรหดที่สุดในโลก ?

  • หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -272.8°C (ได้ประมาณ 1 นาที ) และที่ -200°C ( อยู่ได้ประมาร 1 วัน )
  • หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 151 °C
  • สามารถทนรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 1,000 เท่า
  • เมื่อปราศจากน้ำพวกมันจะอยู่ในสภาพจำศีลได้กว่า 100 ปี และเมื่อได้รับน้ำพวกมันสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นได้อีกครั้ง
  • สามารถอยู่ได้ในสภาพนอกโลก( ในปี 2007 หมีน้ำถูกน้ำนำไปทดสอบในโครงการ FOTON-M3 โดยน้ำไปโคจรในอวกาศถึง 10 วัน เมื่อนำพวกมันกลับมายังโลกพบว่าพวกมันส่วนใหญ่สามารถรอดชีวิต ทั้งยังมีบางตัววางไข่ ออกลูกได้ ต่างหาก )


ภาพนี้เมื่อพวกมันถูกแช่แข็ง พวกมันก็จะอยู่ในสภาพเหมือนจำศีล เมื่อละลายพวกมันพวกมันก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง




ที่มา :
http://www.gconnex.com/knowledge
http://en.wikipedia.org/wiki/Tardigrade


Thursday 10 October 2013

10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ

ความสำเร็จทุกวันนี้อาจทำให้เราภาคภูมิใจ ที่การก้าวสู่อวกาศไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป และมีแต่จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนภารกิจที่คาดว่าจะไม่มีวันเป็นจริง กลายเป็นเรื่องใกล้แค่เอื้อม อย่างไรก็ตาม บางทีคุณอาจลืมไปว่าความสำเร็จที่ได้มานั้น ต้องแลกกับการเสียสละของเพื่อนร่วมโลกมากมาย ซึ่งถึงแม้มันจะไม่ใช่มนุษย์เหมือนเราแต่ก็มีชีวิตเหมือน ๆ กัน และบางตัวก็ต้องจบชีวิตไปเพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์อีกด้วย ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม 10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ จากเว็บไซต์ io9 มาฝาก ให้เราได้ระลึกถึงความเสียสละของมันกันค่ะ

 10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ (ภาพจาก Weekly Science Quiz)
1. หมีน้ำ (อึด ทน ถึก)

          หมีน้ำ (Water Bears) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกว่า 1.5 มิลลิเมตร ถูกส่งขึ้นไปพร้อมกระสวยอวกาศ ESA's FOTON-M3 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2007 เพื่อศึกษาความหนาแน่นของรังสีและภาวะสุญญากาศบนอวกาศ โดยถูกส่งออกไปนานถึง 10 วัน ก่อนจะกลับมายังโลกและได้สัมผัสน้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้ 68% ของเหล่าหมีน้ำกลับมามีชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง มันเลยถูกยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่สามารถมีชีวิดรอดได้ท่ามกลางภาวะสุญญากาศ


2. ลิงชิมแปนซี (ภาพจาก Wikipedia)
          ถือเป็นสัตว์ที่ถูกส่งขึ้นอวกาศมากมายหลายครั้ง แต่ลิงชิมแแปนซีตัวแรกสุดที่ถูกส่งขึ้นอวกาศมีชื่อว่า แฮม ซึ่งมันถูกส่งขึ้นไปกับแคปซูล American Mercury ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1961 เพื่อทดสอบความปลอดภัย ก่อนจะส่งมนุษย์ขึ้นไปจริง ๆ ในภายหลัง และเจ้าแฮมก็สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยเสียด้วย










3. ตัวนิวท์

          เนื่องจากตัวนิวท์ (Newts) เป็นสัตว์ประเภทจิ้งจกที่ทำได้แม้กระทั่งงอกแขนขาออกมาใหม่ด้วยตัวเอง ทำให้มันเหมาะเจาะที่สุดสำหรับภารกิจ USSR's Bion 7 เมื่อปี 1985 ที่มีจุดประสงค์จะวัดความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของสิ่งมีชีวิตเมื่อต้องไปอยู่บนอวกาศ ตัวนิวท์ สายพันธุ์ Pleurodeles Waltl จำนวน 10 ตัว จึงถูกส่งออกนอกโลกไป และนั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่ออยู่บนอวกาศ พวกมันสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ


4. กระต่าย

          กระต่ายตัวแรกซึ่งมีชื่อว่า มาร์ฟูชา ถูกส่งไปอวกาศด้วยจรวด R2-A rocket ในภารกิจของสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมปี 1959 อย่างไรก็ตามเจ้ามาร์ฟูชาไม่ได้ออกสู่อวกาศเพียงลำพัง แต่ยังมีสุนัขอีก 2 ตัว คือ Otvazhnaya และ Snezhinka เดินทางขึ้นไปพร้อมกับมันด้วย และเมื่อกลับมายังโลก ทั้งสามก็ได้รับการพักฟื้นร่างกาย และปลอดภัยทั้งหมด


5. เต่า ( ภาพจาก 46blyz.com โดย RKK Energía)
          เต่าคู่แรกที่ถูกส่งขึ้นไปในห้วงอวกาศ เป็นเต่าจากประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตส่งขึ้นไปในปี 1968 อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ถูกส่งขึ้นอวกาศในแบบทั่วไปเหมือนสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่ผ่านมา แต่กระสวยอวกาศ Zond 5 ที่เจ้าเต่าน้อยอาศัยขึ้นไปในอวกาศ ได้มีการโคจรรอบดวงจันทร์ก่อนจะกลับมาสู่โลก และเจ้าเต่าก็มีชีวิตยืนยาวต่อไป







6. กบ (ภาพจาก wikipedia)
          ในปี 1970 องค์การนาซาได้ส่งกบขึ้นสู่อวกาศ ผ่านกระสวยอวกาศ Otolith เพื่อใช้เป็นข้อมูลศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมอง เมื่อต้องอยู่ในภาวะปราศจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งจากสิ่งที่เกิดกับกบ ทำให้พบว่าระบบการทรงตัวของร่างกายจะทำงานผิดปกติชั่วขณะเมื่อเข้าสู่ห้วงอวกาศ แต่ก็จะสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมอีกครั้ง







7. แมงมุม (ภาพจาก Dragon Mare)

          เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมปี 1973 สหรัฐอเมริกาได้ส่งแมงมุมคู่แรก อาราเบลลา และ อนิต้า ไปกับจรวด Saturn IB ร่วมกับภารกิจ Skylab ครั้งที่สอง ที่มีมนุษย์อยู่ด้วย ซึ่งหน้าที่ของมันเป็นสิ่งที่มีแต่แมงมุมเท่านั้นที่ทำได้จริง ๆ นั่นก็คือตรวจสอบว่าการชักใยของมันเปลี่ยนไปหรือไม่เมื่ออยู่บนอวกาศนั่นเอง ทำให้เราได้เห็นใยแมงมุมถูกทอบนอวกาศเป็นครั้งแรกด้วย






8. แมว (ภาพจาก Pillown Astromnaut)
          ย้อนกลับไปในปี 1963 ประเทศฝรั่งเศสเคยตั้งใจจะส่งเฟลิกซ์ แมวข้างถนนขึ้นไปในอวกาศ แต่มันก็ดันหนีไปเสียก่อน ทำให้เฟลิเซตต์ แมวตัวเมียข้างถนนตัวใหม่ได้เข้ามาทำภารกิจนี้แทน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมปี 1963 ซึ่งแมวน้อยตัวนี้ถูกฝังขั้วไฟฟ้าไว้ที่สมองเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของมันด้วย หน้าที่ของแมวตัวนี้คือขึ้นไปบนอวกาศและกลับลงมาผ่านร่มชูชีพ โดยมันกลับลงมาในเวลาไม่ถึง 15 นาที แถมยังมีชีวิตรอดกลับมาอีกด้วย

9. สุนัข (ภาพจาก Dingus)

          เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1957 โซเวียตได้ตัดสินใจส่ง Sputnik 2 ไปเป็นกระสวยอวกาศชิ้นแรกที่โคจรรอบโลก โดยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ข้างในด้วย ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นก็คือสุนัขจรจัดเพศเมียชื่อ ไลก้า นั่นเอง และสุดท้ายบทสรุปจุดจบชีวิตของไลก้า ถูกเปิดเผยว่า มันตายตั้งแต่อยู่ในกระสวยได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้ว เพราะความตื่นกลัวจนช็อก ซึ่งเป็นถือเรื่องน่าเศร้า




10. แมลงวันผลไม้ (ภาพจาก Space)

          แมลงวันผลไม้ (Fruit flies) กลุ่มหนึ่งได้ถูกส่งขึ้นอวกาศไปพร้อม ๆ กับจรวด American V2 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ปี 1947 ที่ระยะทาง 68 ไมล์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลศึกษาผลกระทบจากพลังคลื่นรังสีต่อสิ่งมีชีวิต ก่อนจะย้อนกลับมาที่โลก ซึ่งแมลงวันผลไม้ทั้งหมดกลับมาได้อย่างปลอดภัย



     
 ทั้งนี้ นอกจากสัตว์ทั้ง 10 ที่เรารวบรวมมาฝาก ยังมีสัตว์อีกมากมายที่ผ่านการส่งขึ้นอวกาศไปเช่นกัน และก็มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หรือถึงขั้นล้มตายก็ด้วย ดังนั้นกว่ามนุษย์จะพัฒนามาถึงทุกวันนี้ได้ ก็คงต้องขอบคุณการเสียสละของเจ้าสัตว์เหล่านี้ด้วยเหมือนกัน



เครดิต  กระปุ๊กดอทคอม

Monday 7 October 2013

ผลสำรวจเกี่ยวกับ "ลักษณะโบนัส"ที่จ่ายกันในประเทศไทย ประจำปี 2013

จากผลการสำรวจ "ลักษณะโบนัส" เพื่อแรงจูงใจการทำงาน ในปี 2013
มีรายงานผลการสำรวจดังนี้  (จากผลการสำรวจค่าจ้างของ PMAT)

1. มีจำนวนองค์กรถึง 70% กำหนดนโยบายการให้โบนัสแบบ "ผันแปรตามผลงานส่วนบุคคล" คือ

  • โบนัสที่จะให้นั้นไม่ให้พนักงานทุกคนเท่ากัน 
  • จะใช้ผลงานของพนักงานที่ทำได้ในปีนั้นๆ มาเป็นเครื่องมือในการให้โบนัส
  • พนักงานแต่ละคนได้โบนัสไม่เท่ากัน
  • บริษัทฯ คิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานของพนักงานได้ดีที่สุด
  • ข้อจำกัดก็คือ องค์กรจะต้องมีระบบการประเมินผลงานที่ดีมาก และสามารถที่จะบอกถึงผลงานของพนักงานแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
  • วิธีการนี้มีการใช้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีแค่ 58% ปีนี้ปรับเป็น 70 %
  • วิธีนี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปีๆ ในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมา


2. มีจำนวนองค์กร 20% ให้โบนัสพนักงานเท่ากันทุกคน

  • บริษัทที่ยังคงให้โบนัสพนักงานเท่ากันทุกคนนั้น ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เน้นการทำงานเป็นทีมมากกว่าเน้นการที่ให้พนักงานแต่ละคนแข่งขันกันสร้างผลงานกันเอง โดยไม่พิจารณาถึงผลงานที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละคน 
  • พิจารณาจากยอดโบนัสที่จะให้เท่านั้น


3. มีจำนวนองค์กร อีก 10% ให้โบนัสผสมผสานกันทั้งสองวิธี

  • กำหนดการจ่ายโบนัสออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ส่วนหนึ่งให้เท่ากันทุกคน 
  • อีกส่วนหนึ่ง ให้ต่างกันตามผลงานของพนักงานแต่ละคน เพื่อที่จะรักษาการทำงานเป็นทีมไว้ส่วนหนึ่ง 
  • ส่งเสริมการสร้างผลงานที่ดีของพนักงานด้วย ใครที่ทุ่มเททำงาน และสามารถสร้างผลงานที่ดีกว่าอีกคนหนึ่ง ก็น่าจะได้โบนัสที่มากกว่าคนที่ทำผลงานได้น้อยกว่า


อัตราโบนัสที่บริษัทต่างๆ ให้กันในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง??

1)โบนัสคงที่ บริษัทที่มีการจ่ายโบนัสแบบคงที่ คือ ให้พนักงานทุกคนเท่ากันหมด อัตราเฉลี่ยที่องค์กรส่วนใหญ่ให้กันก็คือ 1.5 เดือน

2) โบนัสผันแปรตามผลงาน บริษัทที่จ่ายโบนัสพนักงานไม่เท่ากัน หรือแตกต่างกันกันตามผลงานพนักงานแต่ละคนนั้น ให้โบนัสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 เดือน

3) บริษัทที่ให้โบนัสผสมทั้งสองแบบ ให้โบนัสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8 เดือน

ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลเฉลี่ยของทุกกลุ่มอุตสาหกรรมรวมกัน แต่ถ้ามีการแยกอุตสาหกรรม การจ่ายโบนัสจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากทีเดียวครับ ในปีที่ผ่านมานั้น ธุรกิจที่จ่ายโบนัสสูงสุด (จากผลการสำรวจค่าจ้างของ PMAT) 5 อันดับแรกมีดังนี้


  • กลุ่มธุรกิจยานยนต์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 9 เดือน
  • กลุ่มปิโตรเคมี จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 8 เดือน
  • กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิคส์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5.25 เดือน
  • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5 เดือน
  • กลุ่มธุรกิจอาหาร จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5 เดือน


อจ.ประคัลภ์ ผู้เชี่ยวชาญงาน HR ให้ความเห็นว่า #

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากผลการสำรวจค่าจ้างฯ มาทุกปีเป็นเวลามากกว่า 15 ปี ก็คือ แนวโน้มเรื่องของการขึ้นเงินเดือนตามผลงานนั้นมีแนวโน้มที่ลดลงไปเรื่อยๆ จาก 15 ปีก่อนที่อยู่ในอัตราประมาณ 10-15% แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่แค่ประมาณ 5-6% เท่านั้น และกำลังจะมีแนวโน้มที่ลดลงไปเรื่อยๆอีก 

สาเหตุก็เพราะถ้าองค์กรขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในอัตราที่สูงมากๆ จะเป็นการเพิ่มภาระในการบริหารค่าตอบแทนขององค์กรมากขึ้นทุกปี เนื่องจากประเทศไทยเงินเดือนลดไม่ได้ มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่องค์กรยังต้องการที่จะสร้างแรงจูงใจให้พนักงานให้มีพลังในการที่จะสร้างผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และเครื่องมือที่จะสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม และไม่ทำให้ต้นทุนค่าจ้างสูงขึ้นในระยะยาว ก็คือ “โบนัส” ตามผลงานนั่นเอง....

Sunday 6 October 2013

เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ???




เจ้ากรรมนายเวร โดย 
อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ 

เนื้อหาต่อไปนี้ เป็นบทสนทนาระหว่างอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับผู้ที่สนใจ..... เรื่อง "เจ้ากรรมนายเวร" ซึ่งก็ยังมีผู้สงสัยและสนใจในเรื่องนี้อยู่มาก 

ถ้าหากสามารถจะทำให้ทุกท่านที่สนใจได้มีความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะการสะสมความเห็นที่ถูกนั้น ย่อมสามารถเป็นปัจจัยให้เราสามารถเจริญกุศลได้ยิ่งๆ ขึ้นไป ....สาธุ

: ถาม
มีผู้กล่าวว่า การทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ไม่ทราบว่า คำว่า เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงอะไร การทำสมาธิแล้วจะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยได้หรือไม่ อย่างไร 

: อ.สุจินต์
รู้สึกว่าใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวรกันมาก และกลัวเหลือเกินว่า ถ้าไม่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรจะไม่พ้นจากเคราะห์กรรมต่างๆ มีท่านผู้ใดเคยทำและเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? 

ความจริงนั้นเมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่สามารถรู้และอนุโมทนาได้ แต่คำว่าเจ้ากรรมนายเวรดูจะเป็นคำคล้องจองของคำว่า กรรมเวร และ เจ้านาย ที่ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรนั้น 

ตามความเป็นจริงแล้ว ใครทำให้ท่านปฏิสนธิในชาตินี้ อะไรทำให้แต่ละบุคคลเกิดในภพนี้ในภูมินี้ เจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้ทำหรือ หรือว่าเป็นกรรมของแต่ละท่านที่ได้กระทำแล้ว กรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในภูมินี้ 

เพราะฉะนั้นไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเจ้ากรรมของใคร เพราะว่าแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน แม้แต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกที่เกิดในภูมินี้ ก็เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในอดีตของท่านเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมทำให้ท่านปฏิสนธิ

ข้อความในอังคุตตนิกาย ทสกนิบาต ธัมมปริยายสูตร ข้อ 193 พระผู้มีพระภาคฯตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว 

ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับคำพระผู้มีพระภาคฯแล้ว พระผู้มีพระภาคฯ ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้องและมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 


เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร หรือว่าท่านผู้ใดเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรว่าอย่างไร มีใครเคยอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง?

:กังขา ...... ผมเพียงแต่ยกมือว่าเคยกระทำเช่นนั้น แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องเจ้ากรรมนายเวร 

: อ.สุจินต์.... ขณะที่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่รู้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ใช่ไหม 

:กังขา..... เป็นคติความเชื่อที่เชื่อว่า เรากระทำอะไรให้ใครเขาไม่พอใจเดือดร้อน อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ขอให้ต่างฝ่ายต่างมีอโหสิกรรมต่อกัน อันนั้นเป็นความเชื่อว่าถ้าเราแผ่ส่วนกุศลไป แผ่เมตตาไป เชื่อว่าย่อมเป็นการกระทำที่ดี และอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราสบายใจ เพราะเชื่ออย่างนี้จึงทำอย่างนี้ และเชื่อต่อไปโดยไม่ได้ศึกษาว่า พระผู้มีพระภาคฯ อาจจะตรัสไว้ที่ไหน คิดว่าเป็นคติทางพุทธศาสนา 

:อ.สุจินต์..... แต่ไม่เคยเห็นเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม 

:กังขา..... ที่เป็นตัวเป็นตนก็มี พ่อแม่ของผม ผมก็ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร ท่านมีบุญคุณกับผม ผมก็อุทิศให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อุทิศให้ทุกครั้งไป 

:อ.สุจินต์..... ถ้าอย่างนั้น ในความหมายนี้คงหมายถึงผู้ที่มีกรรมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ชื่อว่า เจ้ากรรมนายเวร 


:กังขา ..... ไม่ทราบว่าความจริงจะเป็นอย่างไรสำหรับคนอื่น สำหรับกระผม กระผมถือว่าใครก็แล้วแต่กระทำกรรมต่อกัน เราก็อยากอุทิศให้ 

:อ.สุจินต์..... นั่นเป็นเรื่องอุทิศส่วนกุศล เป็นเรื่องของการเจริญเมตตา แต่นี่เป็นเรื่องการเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวร คือไม่ทราบว่าแต่ละท่านมีความคิดความเข้าใจเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร เพราะรู้สึกว่าจะเป็นธรรมเนียมในการที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร 

:กังขา..... กระผมก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ศึกษา มีความเชื่อว่า ถ้าเรากระทำความไม่ดีอะไรกับใครไว้ ก่อความไม่พออกพอใจแก่ใครไว้ ก็คิดว่ากรรมนั้นอาจเกิดสนองแก่เราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คิดว่า ถ้าเราอโหสิกรรมต่อกันเสียก็คงจะดี อันนี้เป็นความเชื่อ นอกจากนั้นคอยไปพบใครไม่ทราบบอกว่า เวลาเจ็บป่วย พระภิกษุท่านบอกว่ามีสาเหตุหลายอย่าง จำได้ว่ามีพยาธิ มีอุตุ มีกรรม และมีข้อหนึ่งว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เราทำอะไรไปในชาติก่อน อาจจะทำให้ผู้ถูกกระทำนั้นมาทวงบุญทวงคุณ หรือว่าทวงกรรมที่เราไปทำเขา ด้วยเหตุนั้นผมก็เชื่อเช่นนั้น เวลาทำบุญทำกุศลอะไรก็แล้วแต่ ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ก็ไม่ลืมที่จะใส่บาตรกรวดนํ้าให้ผู้ที่อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร ถ้ามีอะไรต่อกันก็ขออโหสิแก่กัน ทำอย่างนั้นด้วยความเชื่อ ผมไม่ทราบว่าถูกต้องตามคติหรือพระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ หรือเปล่า 

:อ.สุจินต์..... ขอให้พิจารณาโดยละเอียดถึงเรื่องการอุทิศส่วนกุศลและการอบรมเจริญเมตตา สำหรับการอุทิศส่วนกุศลนั้นเมื่อได้ทำกุศลแล้ว ก็สามารถจะอุทิศให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ได้ ที่สามารถจะล่วงรู้ เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ไม่ว่าจะเป็นผู้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่สำหรับความเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้ ขอให้พิจารณาจริงๆ ว่า แต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดจะดลบันดาลทุกข์สุขให้กับท่าน เพราะว่าทุกข์สุขของแต่ละท่านนั้นย่อมต้องเป็นผลของการกระทำคือกรรมของท่านเอง 

ส่วนการอุทิศส่วนกุศลขณะนั้นผู้อุทิศต้องมีเมตตาจิต จึงสามารถจะอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละบุคคลนั้นได้ ถ้าขาดเมตตาจิตในบุคคลใดก็จะไม่อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลนั้น เพราะฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศลจึงเป็นการเจริญเมตตา คือต้องมีความเมตตาจึงสามารถจะอุทิศส่วนกุศลในขณะนั้นได้ ถ้าคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น กับคิดถึงบุคคลที่ท่านกำลังไม่พอใจ แทนที่จะคอยโอกาสมีเมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่เห็นหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่กับคนซึ่งท่านกำลังเห็นและไม่พอใจนั้น อาจจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม ซึ่งความจริงเจ้ากรรมนายเวรไม่มี ทุกท่านมีกรรมเป็นของๆตน แต่ถ้าคิดถึงกรรมที่ตนได้เคยทำต่อบุคคลอื่น แล้วเรียกบุคคลที่ท่านกระทำด้วยว่าเป็นเจ้ากรรมของท่าน แล้วใคร่ที่จะเห็นเขามีความสุข ให้พ้นจากความผูกโกรธขณะนั้น ก็ควรเมตตาบุคคลที่ท่านเห็น แทนที่จะไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณา 

ส่วนการเจริญเมตตานั้นก็เจริญได้ต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น การเจริญเมตตาต่อคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่เกิดผล เพราะฉะนั้น ควรพิจารณาตามความเป็นจริงว่าบุคคลที่สิ้นชีวิตแล้วนั้น สูญสิ้นสภาพของการเป็นบุคคลซึ่งเคยเกี่ยวข้อง เคยมีความสัมพันธ์ เคยชอบหรือเคยชังต่อกันก็จบสิ้นไปแล้ว 

ฉะนั้น การที่สามารถมีเมตตาต่อบุคคลซึ่งเป็นที่ไม่รักได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตาจริงๆ มีกำลังของเมตตาที่สามารถจะเจริญได้แม้บุคคลซึ่งไม่เป็นที่รักก็เมตตาได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นสูญสิ้นการเป็นบุคคลนั้นแล้ว จะมีเมตตาต่อบุคคลนั้นทั้งๆ ที่ท่านเองก็รู้ว่าไม่มีบุคคลนั้นอีกต่อไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น ความคิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรก็ฉันนั้น ในเมื่อกรรมได้กระทำไปแล้ว และกรรมนั้นก็เป็นของท่านเอง และบุคคลที่ท่านกระทำกรรมในชาติไหนๆ ก็ตาม ในปัจจุบันชาตินี้จะเป็นใคร ถ้ากล่าวลอยๆ ว่าเจ้ากรรมนายเวร โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ย่อมเป็นโมฆะ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไหน แต่ถ้าระลึกได้ว่า ควรจะมีเมตตา ควรอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลทั้งหลายผู้สามารถล่วงรู้ได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ท่านก็สามารถจะเจริญเมตตาโดยอุทิศส่วนกุศลให้ แม้คนซึ่งไม่เป็นที่รัก จะดีกว่าการไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยไม่ทราบว่าชาติไหนท่านได้ทำกรรมอะไรกับบุคคลใด จึงจะเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน 

เพราะว่า แม้กรรมในชาติก่อนๆ ก็ยังนึกไม่ออก ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่า ในชาติก่อนๆ ได้กระทำกรรมอะไร จึงมีเจ้ากรรมนายเวร และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหนก็ไม่รู้ และถ้าเป็นในชาตินี้ ใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านบ้าง และเจ้ากรรมนายเวรซึ่งท่านได้กระทำกรรมต่อบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าล่วงลับไปแล้ว ถ้าล่วงลับไปแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลนั้นได้ แต่ไม่ใช่โดยฐานะซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรลอยๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหน 

สภาพธรรมะนั้นต้องไตร่ตรองพิจารณาเหตุผลจริงๆ เพราะถ้าไม่พิจารณาเหตุผลก็อาจจะกระทำไปโดยไม่เข้าใจว่าเป็นกุศลจริงๆ หรือไม่ เพราะเพียงแต่การกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นใครนั้น โดยมากมักจะกลัวเจ้ากรรมนายเวรเพราะคิดว่า เจ้ากรรมนายเวรจะทำให้ชีวิตของท่านลำบากเดือดร้อน แทนที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า อกุศลกรรมที่ท่านได้กระทำแล้วซึ่งเกิดเพราะกิเลสเป็นเหตุให้วิบากคือผลของกรรมนั้นๆเกิดขึ้นกับท่านเอง เมื่อท่านยังมีอกุศลกรรม ยังมีกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุให้ทำอกุศลกรรม อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นย่อมให้ผล คือทำให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นได้ในภายหลัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นโทษของกิเลสและอกุศลกรรมมากกว่ากลัวที่จะไม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร 

:กังขา ..... อย่างพวกที่ผูกพยาบาทกัน ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... โดยสถานไหน 

:กังขา ..... มีธรรมบทเรื่องนางยักษิณี มีการผูกเวรกันมาหลายชาติ 

:อ.สุจินต์..... เมื่อผูกเวรกันแล้ว หนทางที่จะหมดเวรได้นั้น คืออย่างไร 

:กังขา. ..... เรื่องที่จะหมดเวรก็คือว่า ตอนสุดท้ายนางยักษิณีจะไปจับลูกของผู้หญิงคนที่ผูกเวร เพื่อนำไปเป็นอาหาร ผู้หญิงนั้นวิ่งเข้าไปในวัด เอาลูกไปวางไว้ที่พระบาทของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้เรียกนางยักษิณีพร้อมด้วยผู้หญิงคนนั้น และทรงโปรดแสดงเทศนาจนคนทั้งสองเลิกผูกเวรกัน 

:อ.สุจินต์..... เพราะฉะนั้น ที่จะหมดเวรกันได้นั้น คืออย่างไร 

:กังขา..... คงจะเป็นเพราะกุศลจิตที่เกิดขึ้น 

:อ.สุจินต์..... คือไม่จองเวร ไม่โกรธกันต่อไปขณะใด ขณะนั้นก็หมดเวรต่อกัน คือกุศลจิตเกิดทั้งสองฝ่าย 

:กังขา..... ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำบุญ และมีเจตนาดีที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับผลบุญที่ตนกระทำด้วย ฝ่ายนั้นอาจจะเลิกคิดพยาบาทเป็นไปได้ไหม 

:อ.สุจินต์..... ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ทำกุศลแล้วก็อยากให้ผู้อื่นเกิดกุศลด้วย จึงบอกให้ผู้นั้นรู้ในกุศลนั้น เพื่อเขาจะได้อนุโมทนา แต่ถ้าพูดถึงเจ้ากรรมนายเวรหลังจากที่เราทำกุศลแล้ว จะรู้ได้อย่างไร 

:กังขา. ..... เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนที่โกรธกัน โดยบอกว่าไปทำบุญมา ขอให้ท่านได้รับผลบุญด้วย 

:อ.สุจินต์..... บอกให้เขารู้เพื่อที่เขาจะได้อนุโมทนา แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้ แล้วยังไปกลัวอีกว่าที่อุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อเขาจะได่ไม่มาทำให้เราเดือดร้อน ดูเหมือนกับว่าเขาสามารถจะดลบันดาลทั้งๆที่เราเป็นผู้กระทำกรรม เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของเราเอง ไม่ใช่คนอื่นสามารถสามารถกระทำกรรมให้เราได้ 

:กังขา.... คิดว่าเป็นอย่างนั้น 

:อ.สุจินต์..... ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าผูกโกรธ แต่ไม่ต้องไปคิดถึงกรรมในอดีตที่ผ่านมา แล้วไม่รู้ว่ากรรมอะไร เจ้ากรรมนายเวรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่ชอบใครก็คิดเสียว่าคนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร อย่างที่เราเคยคิดก็แล้วกัน จะได้ไม่โกรธเขา แทนที่จะต้องไปนั่งอุทิศส่วนกุศลให้ ก็เกิดเมตตาในบุคคลนั้นทันที 

:กังขา.. ..... เรื่องการแผ่เมตตามีคนเป็นจำนวนมากแผ่ไปไม่เฉพาะแต่เพื่อนฝูง ญาติมิตรเท่านั้น แต่แผ่ให้แก่โอปปาติกะทั้งหลายด้วย 

:อ.สุจินต์..... เมื่อทำกุศลแล้วก็ควรอุทิศส่วนกุศลที่กระทำแล้วให้ผู้ที่สามารถล่วงรู้ เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา แต่ไม่ใช่คิดว่าโอปปาติกะนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร คืออยากให้เข้าใจคำว่า เจ้ากรรมนายเวร ให้ถูกต้อง ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง เมื่อได้กระทำกรรมต่อใครไว้ และอยากจะให้หมดกรรมนั้น ก็ควรเกิดกุศลจิตแทนการผูกโกรธ 

:กังขา. ..... อยากทราบว่า ตามที่ยกข้อความในธรรมบทขึ้นมานั้น คือ กุลสตรีซึ่งในอดีตชาติเป็นภรรยาหลวงและภรรยาน้อย ภรรยาหลวงได้ทำให้ภรรยาน้อยแท้งลูกถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ถึงสิ้นชีวิต ภรรยาน้อยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... ที่ใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวร หมายความว่าอย่างไร 

:กังขา...... เมื่อภรรยาน้อยตายไปแล้ว ผูกอาฆาตว่าถ้าเกิดมาในชาติใดๆ จะขอกินลูกภรรยาหลวงทุกชาติ 

:อ.สุจินต์.... แล้วเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร 

:กังขา..... เพราะยังไม่เข้าใจ จึงเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... ไม่ใช่เป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่เป็นความผูกโกรธ ทุกท่านในขณะนี้อาจจะมีภัย หรืออาจจะมีศัตรูจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดในชาติปัจจุบันนี้ จะกล่าวว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันในอดีต หรือว่าจะเกิดมามีความผูกโกรธกันในปัจจุบันชาติ แต่บุคคลนั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายบุคคลใดได้ ถ้ากรรมของบุคคลที่ถูกกระทำนั้นไม่ถึงกาลที่จะให้ผล 

แต่ถ้าเป็นผู้มีกุศลสั่งสมมาดีพร้อมทั้งคติสมบัติ กาลสมบัติ อุปธิสมบัติ ปโยคสมบัติ แม้ว่าบุคคลอื่นจะโกรธหรือผูกโกรธอย่างไรก็ตาม ย่อมไม่สามารถจะทำอันตรายได้ เพราะแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน เมื่ออกุศลกรรมเป็นเหตุก็ทำให้เกิดกุศลวิบากจิต ฉะนั้นบุคคลอื่นจึงทำร้ายใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่บุคคลที่โกรธท่านก็อาจจะยังโกรธ จากวันเป็นเดือนเป็นปี จากชาตินี้ไปถึงชาติหน้าก็ได้ เป็นเรื่องของบุคคลซึ่งผูกโกรธเอง แต่ไม่ใช่ว่าบุคคลที่ผูกโกรธจะเป็นเจ้ากรรมที่สามารถจะดลบันดาลอะไรให้ เพียงแต่ว่าเมื่ออกุศลกรรมของท่านพร้อมที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบากเมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นโอกาสที่อกุศลวิบากจะเกิดขึ้น เป็นผลของอกุศลกรรมของท่านเอง 

:กังขา...... เรื่องของกรรมที่กล่าวมานั้นถูกต้อง แต่สำหรับรายนี้เมื่อเขาผูกโกรธแล้ว ผูกอาฆาตแล้ว ไปเกิดในชาติต่อไป และเกิดเป็นแมวในบ้านนั้น หลังจากภรรยาหลวงตายไปเกิดเป็นไก่ในบ้านนั้นก็เหมือนกัน เวลาไก่ออกไข่แมวจะกินทุกที เพราะฉะนั้น จะว่าเป็นกรรมของไก่ หรือเป็นการกระทำของแมว 

:อ.สุจินต์..... ถ้าไม่มีกรรมเป็นของตน บุคคลอื่นจะทำอันตรายได้หรือไม่ 

:กังขา. ..... ในที่นี้เป็นการกระทำของแมว ไม่ใช่การกระทำของไก่ 

:อ.สุจินต์..... ถ้าบุคคลนั้นไม่มีกรรมเป็นของตนเอง แมวนั้นจะทำร้ายได้ไหม 

:กังขา ..... จะเป็นการกระทำกรรมในอดีตชาติที่เป็นภรรยาหลวง แล้วให้ยาเขากินจนแท้งลูก กรรมนั้นหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... นอกจากพระผู้มีพระภาคฯ แล้ว บุคคลอื่นไม่สามารถจะพยากรณ์เรื่องของกรรมได้เลย ถ้าใครกล้าที่จะพยากรณ์กรรมว่าขณะนี้ท่านผู้นี้กำลังได้รับผลของกรรมนั้นในชาตินั้นๆ ก็ต้องเป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ว่าบุคคลนั้นสามารถล่วงรู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ทศพลญาณ อย่างพระญาณของพระผู้มีพระภาคฯ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลอื่นสามารถรู้ได้ 

แต่ข้อสำคัญนั้นคือ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 

นี่คือกรรมของตัวเอง เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวรอย่าเข้าใจผิด คิดว่าคนอื่นเป็นเจ้ากรรมนายเวรจริงๆ ซึ่งสามารถจะทำให้ท่านได้รับความทุกข์ต่างๆ แต่เป็นเพราะกรรมของท่านเองที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นเหตุให้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ 

:กังขา ..... ยิ่งฟังยิ่งงง เกรงว่าจะเป็นเรื่องของถ้อยคำหรือภาษาเท่านั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ความเข้าใจซึ่งครงกันคือว่า ให้มีอันเป็นไปอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่ท่านอาจารย์เรียกว่าเป็นกรรมของเราเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมนายเวร แต่ที่เชื่อๆกันคือกรรมของเราเองที่ไปฆ่าเขา ชาติต่อไปเขาก็มาฆ่าเรา แต่ทางภาษาเราถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร คือเราไปกระทำใครเขาไว้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า จะเป็นกรรมมาจากคนอื่น เป็นเพราะกรรมของเราเอง รวมทั้งพระโมคคัลลานะ ตอนสุดท้ายก็สิ้นชีวิตเพราะกรรม 

:อ.สุจินต์..... ทุกท่านเป็นผู้ที่มีกรรมเป็นของๆตนเอง ในปัจจุบันชาตินี้จำได้ไหมว่า ได้กระทำกรรมอะไร หรือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครบ้าง 

:กังขา..... บางทีก็จำได้ ไปทำอะไรให้ใครเจ็บชํ้านํ้าใจ เคยมีและก็ขออโหสิกรรมไปแล้ว 

:อ.สุจินต์..... เมื่อคนนั้นสิ้นชีวิตไป แล้วเกิดเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ยังจะถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนเก่าอยู่อีกหรือไม่ 

:กังขา..... เรื่องนี้ไม่รู้ 

:อ.สุจินต์..... แต่ละคนไม่ได้มีกรรมกรรมเดียว ได้กระทำกรรมกันมาแล้วมาก เคยฆ่าสัตว์มาแล้ว สัตว์ที่ถูกฆ่านั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า และสัตว์จะจำได้ไหมว่าเคยถูกใครฆ่า เช่น ไก่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไก่ตัวนั้นยังจะจำได้ไหมว่าเขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน 

:กังขา..... คงจำไม่ได้แน่นอน 

:อ.สุจินต์..... จำไม่ได้ทั้งนั้น คือคนที่กระทำกรรมก็จำไม่ได้ว่าได้กระทำกรรมต่อบุคคลนี้ เพราะว่าตัวเองก็ไปเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ก็ลืมไปแล้วว่าชาติก่อนได้เคยกระทำกรรมอะไรไว้กับใคร จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครก็จำไม่ได้อีก เพราะว่าจำเรื่องของชาติก่อนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวรก็เป็นเรื่องของความคิดเท่านั้น ต่างคนต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกันทั้งนั้น โดยลักษณะดังกล่าวข้างต้นในสังสารวัฏ 

:กังขา..... ใช่ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเราไม่สามารถจะมีญาณหยั่งรู้อย่างพระผู้มีพระภาคฯ 

:อ.สุจินต์...... ควรพิจารณาอย่างไรเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เช่น ไก่ที่ถูกฆ่าไปตัวหนึ่ง ไก่ตัวนั้นไปเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน แม้เราเองในชาตินี้ก็ไม่รู้ว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน 

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังอุทิศส่วนกุศลให้เรา ซึ่งอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาในชาติก่อนเราก็ไม่รู้อีก เพราะว่าในชาตินี้เราจำชาติก่อนไม่ได้เลย ชาตินี้ถ้าใครได้ทำอกุศลกรรมกับเรา ถ้าจะคิดว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เราก็จำไม่ได้ว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเมื่อไหร่ เขาเองก็จำเรื่องกรรมที่ทำต่อกันไม่ได้ ต่างคนต่างก็จำกรรมที่เคยกระทำในชาติก่อนๆไม่ได้ทั้งนั้น แล้วจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างไร 

:กังขา ..... กระผมจึงว่าน่าจะเป็นเรื่องของภาษาตามความเข้าใจของกระผม กระผมคิดว่าเราจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรใครไว้ แต่มีความเชื่อว่าเราคงเคยกระทำอะไรไว้ และเดี๋ยวนี้เรามีจิตที่บริสุทธิ์คิดว่าจะอุทิศส่วนกุศลให้ใครก็แล้วแต่ที่ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร 

:อ.สุจินต์..... ท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ถามหรือไม่ 

ผู้ฟัง ..... เรื่องนี้ตอบแทนได้เลยว่าไม่มีใครรู้ใครทั้งสิ้น 

:อ.สุจินต์..... แต่ก็อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน และเขาก็ไม่รู้เลยว่าท่านอุทิศส่วนกุศลให้ เพราะเขาจำชาติก่อนไม่ได้ ขณะที่อยู่ในชาตินี้ พบใครก็ไม่รู้ว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันหรือไม่ เพราะฉะนั้นแทนที่จะนึกว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร แทนที่จะมีเวรโดยการผูกโกรธต่อกันและกัน ก็ควรมีเมตตาต่อกันทันที จึงหมดเวรได้ ไม่ใช่ต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยไม่รู้ว่าผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในที่นี้อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ได้ ทั้งๆ ที่อุทิศส่วนกุศลให้ก็ยังไม่รู้ว่าใครอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง 

:กังขา ..... ถ้ามีคนเขาอิสสาริษยาเรา เราจะทำอย่างไรจึงจะให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด ถ้าเราทำบุญทำกุศลแล้วบอกให้เขาทราบ เพื่อให้เขาอนุโมทนาด้วย แต่เมื่อคิดว่าเขามีจิตริษยาจึงไม่บอกให้เขาทราบ และจะมีวิธีใดที่จะบอกเขาได้ 

:อ.สุจินต์..... รู้ได้อย่างไรว่าเขาอิสสาริษยา 

:กังขา..... จากเหตุการณ์ประมวลมาหลายๆ อย่าง ซึ่งคนอื่นคงไม่รู้ แต่เราสามารถรู้ได้ 

:อ.สุจินต์..... ใจของคนอื่น ใครจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง 

:กังขา..... สมมติว่าเราทำบุญแล้วจะให้เขาอนุโมทนาด้วย เราจะบอกเขาว่าอย่างไรดี 

:อ.สุจินต์...... ข้อสำคัญที่สุดคือ ผู้มีอกุศลจิตเป็นผู้ที่รู้ตัวเองว่ามีอกุศลจิตหรือไม่ ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่กำลังมีอกุศลจิต รู้ตัวเองหรือไม่ว่าตนเองกำลังมีอกุศลจิต หรือคิดว่าคนอื่นทั้งนั้นที่อิสสาริษยา นี่เป็นสิ่งต้องพิจารณา แทนที่จะพิจารณาว่าคนอื่นริษยา ควรพิจารณาจิตของตนเองดีกว่า ว่าจิตของเราในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล 

:กังขา..... ก็ต้องเป็นอกุศลแน่ 

:อ.สุจินต์..... เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปมุ่งหวังเกินเลย ไปแก้ไขคนอื่น ก็ขอให้ทุกคนได้พิจารณาจิตของตนเอง ผู้ใดเป็นผู้ฉลาดย่อมแก้ไขจิตของตนเองด้วยการพิจารณาจิตของตนเองว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะว่าบางคนอาจมุ่งคิดจะแก้ไขบุคคลอื่นที่ริษยา แต่ความจริงนั้นควรพิจารณาจิตของตนเองก่อนว่าขณะที่คิดว่าเขาริษยา จิตของเราเองเป็นอกุศลหรือกุศล 

ถ้าจะกล่าวถึงจิตของผู้ที่อุทิศส่วนกุศลก็เป็นกุศลจิต เป็นกุศลกรรมของบุคคลที่อุทิศกุศลนั้น และผู้ที่รู้และอนุโมทนาก็เป็นกุศลจิตเป็นกุศลกรรมของผู้ที่อนุโมทนาเอง 

อย่าลืมว่าถ้าจะคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรก็คือ คิดถึงบุคคลที่กำลังมองเห็นอยู่นี้เอง โดยไม่ทราบว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันในชาติไหน ถ้าจะคิดว่าในสังสารวัฏอาจจะเตยเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติหนึ่งชาติใด ก็มีเมตตาต่อผู้ที่กำลังพบเห็นทันที แทนที่จะรอโอกาสเมื่อไปทำบุญแล้วจึงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมองไม่เห็น





ซื้อขายอะไรได้บ้างในตลาด Forex

ง่ายๆเลยก็คือ เงิน คิดง่ายๆว่าการซื้อขายสกุลเงินเหมือนกับการซื้อขายหุ้นของทั้งประเทศหรือเหมือนกับการที่คุณซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ อัตราคู่สกุลเงินจะขึ้นหรือลงนั้นขึ้นอยู่กับการประเมินสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันและอนาคต

ถ้าคุณซื้อเงินเยนของญี่ปุ่นก็เหมือนกับว่าคุณได้ซื้อ "หุ้น" ของประเทศญี่ปุ่น คุณได้เดิมพันกับสถานภาพทางเศรษฐกิจและการเติบโตของประเทศญี่ปุ่น

การซื้อขายคู่สกุลเงินนั้น เหมือนกับการเปรียบเทียบ สมรรถภาพทางเศรษฐกิจของสองประเทศ