Friday 20 September 2013

ย้อนรอยปาท่องโก๋ ขนมแห่ง "ความแค้น" ในตำนานจีน


คู่รักปาท่องโก๋ หรือคู่ซี้ปาท่องโก๋ ที่เราเคยได้ยินกันมาบ่อย ๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นการตีความหมายที่ผิด ๆ ไปเสียแล้ว เพราะตามตำนานของจีน ปาท่องโก๋ (Deep-fried dough stick) ขนมแป้งทอดกรอบแสนอร่อยที่ประกบคู่กันนี้ เป็นขนมที่ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ้องได้คิดทำขึ้นมาเพื่อแสดงความแค้นกับบุคคลที่ขายชาติ จึงกำหนดให้เวลาเรากินปาท่องโก๋จึงต้องฉีกออกจากกัน เอ๊ะยังไง อย่างนั้นลองไปดูตำนานปาท่องโก๋กันเลยดีกว่าค่ะ

          โดยเรื่องราวของตำนานที่ว่าก็คือ เมื่อครั้งสมัยราชวงศ์ซ้อง ชาวจีนมีแม่ทัพผู้จงรักภักดีต่อชาติชื่อว่า งักฮุย เป็นแม่ทัพที่ซื่อตรง ซื่อสัตย์ รักชาติ และยึดมั่นในอุดมการณ์ของนักรบเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน และกลายเป็นแม่ทัพขวัญใจประชาชนทั่วแคว้น รวมถึงเป็นทหารที่องค์ฮ่องเต้ชื่นชมอยู่พอสมควร แต่เหตุการณ์น่าสลดก็เกิดขึ้นกับงักฮุย เมื่อฉินฮุ่ย และภรรยา เกิดคิดกบฏ และหวังจะขายชาติ และทำทุกวิธีการเพื่อโค่นล้มกองทัพของงักฮุย ร้ายแรงถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสีจนงักฮุยจนถูกตัดสินประหารชีวิต ทำให้ประเทศจีนในตอนนั้นสูญสิ้นแม่ทัพคนดีของประชาชนชาวจีนไปอย่างน่าเสียดาย

          ด้วยเหตุนี้ประชาชนที่ทราบข่าวว่าแม่ทัพผู้เป็นที่รักของตนถูกตัดสินประหารชีวิต ก็พากันนำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปฉิน ฮุ่ยและภรรยา แล้วก็นำแป้งมาประกบกัน จากนั้นก็ทอดในน้ำมัน กลายเป็นขนมอิ๋วจ้าฮุ่ย หรือแปลเป็นไทยก็คือ ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน และฉีกออกก่อนรับประทาน เพื่อแสดงความแค้นแก่คนชั่วทั้งสองที่เป็นสาเหตุทำให้แม่ทัพผู้เป็นที่รักต้องจบชีวิตลง 

          คนไทยเรารู้จักกับปาท่องโก๋พร้อมกับคนจีนแต้จิ๋วที่อพยพเข้ามา ในเมืองไทย ในช่วงรัชกาลที่ 6 แต่ในสมัยนั้นคนจีนแต้จิ๋ว จะเรียกปาท่องโก๋ว่า อิ้วจาก้วย หรือ อิ่วเจี่ยโก้ย จนต่อมาก็เพี้ยนมาเป็น ปาท่องโก๋ ที่เราคุ้นเคยในที่สุด

          คราวนี้ก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่า แป้งทอดแสนอร่อย ที่เราคุ้นเคยกันในชื่อปาท่องโก๋ อยู่คู่กับโต๊ะกาแฟยามเช้าของเรามาโดยตลอด มีความหมายถึงการแตกแยก และเป็นขนมที่เกิดมาจากความเคียดแค้นของชาวจีนเมื่อครั้งอดีตกาลก่อนโน้นเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นขนมที่สื่อความหมายไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไรก็ไม่เห็นต้องสนเลย จริงไหมคะ แค่กินแล้วอร่อย และฟินเท่านี้ก็พอแล้วเนอะ

ที่มา : Kapook.com 

Wednesday 18 September 2013

พร้อมแค่ 5% จาก 2 ล้านล้าน


จากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลมีความพร้อมที่จะใช้เงินในปีแรก(พ.ศ.2557) แค่เพียง 103,116.27 ล้านบาท หรือ 5.16% เท่านั้น

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีหลายโครงการที่ยังไม่พร้อมที่จะก่อสร้าง โดยหลายโครงการยังไม่มีการศึกษาความเหมาะสม การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม การออกแบบ และการเวนคืน ไม่เว้นแม้กระทั่งโครงการตามแผนเร่งด่วน เช่น ปรับปรุงทาง ราง หมอน สะพานของ รฟท. เป็นต้น

ซึ่งมีความพร้อมที่จะใช้เงินในปีแรกแค่ 8,450.87 ล้านบาท จากวงเงิน 140,271.27 ล้านบาท หรือ 6.02% เท่านั้น

ยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงยิ่งแล้วใหญ่ มีความพร้อมที่จะใช้เงินในปีแรกน้อยมากคือแค่เพียง 33.33 ล้านบาท จากวงเงินก้อนใหญ่ที่สุดแค่จำนวน 783,552.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.004% เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงน่าเป็นห่วงมากว่า เมื่อรัฐบาลได้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากเพียงใด?

เครดิต/ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์

ผู้เขียนขอเพิ่มเติมจากที่มีคนแย้งว่า .... "ก็มีระบบตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไปสิ จะกลัวอะไรมีฝ่ายค้านให้ตรวจสอบแล้วไม่ตรวจเองมากกว่า กลัวว่าเราจะล้าหลังประเทศอื่น ยิ่งอาเซียนกำลังมาด้วยแล้วการลื่นไหลของระบบขนส่งจำเป็นอย่างยิ่ง"

คิดได้แค่นี้ กระนั้นหรือ เป็นการขัดขวางแนวคิด หรือหาข้อโต้แย้งที่โง่เง่า ล้าหลังมากมาย... ได้ยินเช่นนี้แล้ว น่าเป็นห่วงประเทศชาติจริงๆ  


อยากจะบอกว่า "ระบบตรวจสอบ" แทบจำกัดทุกทาง ในขณะที่ทุกอย่างขณะนี้เข้าข่าย "รัฐเผด็จการ" การร่างระบบตรวจสอบ การทำลายผ่ายตรวจสอบ การข่มขู่ทำลายขวัญคนให้้ข้อมูล การออกมาติติงจากผลการตรวจสอบแบบน้ำขุ่นๆ (แถไปแบบหน้าไม่อาย)

ผู้ตรวจสอบ ล้วนแต่ตกอยู่ในภาวะคับขันอันตรายหมด หากท่านเป็นคนเปิดโปงการตรวจสอบ มีการอุดหนุนให้ทำงานแบบ"เอาหูไปนา ตาไปไร่" อยู่เฉยๆ อย่ากระโตกกระตาก คนทำงานในระบบที่เกี่ยวข้องไว้ใจไม่ได้ ไม่มีศักศรีดิ์เอาเสียเลย ท่องสูตร นิ่งเสียตำลึงทอง... 


แบบนี้ จะตรวจสอบอะไรได้ ระบบอะไรจะมาตรวจสอบได้ ถ้าไม่ติติงกันก่อนเกิดเหตุ ....รอให้วัวหายค่อยล้อมคอก กระนั้นหรือ 

ประสบการณ์จากโครงการต่างๆ ที่เหม็นโฉ่ ผิดพลาดเห็นๆ ล้างผลาญเงินทองไปมากมาย ยับยั้งอะไรไม่ได้ และยังไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ ไหนหละ ระบบการตรวจสอบ ทำได้ดีแต่ไหน อะไรๆ ก็เบลอๆ ก่อนจะกู้ ขอแค่ "ควรทำให้เห็น" ก่อนว่ามีระบบการทำงานที่ดี ก่อนกู้จริง แค่คิดไม่เป็นไร แล้วค่อยมาว่ากันเรื่องตรวจสอบ ดีใหม? ระบบการทำงานไม่มีจะเอาระบบไหนมาตรวจสอบนอกจากนั่งชี้ข้อผิดพลาด แล้วก็ลืมๆไป...

หากทำไปแล้ว เราทุกคน..ร่วมลงเรือลำเดียวกันไปหมด ก็คงได้แต่ช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือรั่วๆ เพื่อประคับประคองไม่ให้จม ระหว่างการลอยเท้งเต้งไปด้วยกัน

นี่คือ อุปมาอุปมัยที่พอจะเปรียบเปรยแบบลูกทุ่งให้ฟังได้ เผื่อว่าคุยกัน เป็นระบบ เป็นตัวเลข มันจะยากเกินไป เกินกว่าสมองของคนบางระดับจะเข้าใจ เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นว่า เอาประเด็นไข่เกิดก่อนไก่ หรือ ไข่เกิดก่อนไข่ มาเป็นข้อโต้แย้งและกล่าวโทษกันเท่านั้นเอง ...มาตั้งบนหัวข้อกฏหมายแล้วพากันตีความเอาชนะคะคานกัน  เราไม่ก้าวไปไหนกันเลย..

มุ่งมันโกง กับ มุ่งมันป้องกัน ใครมันจะอึดกว่ากัน...หน้าด้านกว่า ชนะใสๆ คนไทยนิ่งเฉย..งั้นหรือ ...
ต่างผ่ายต่างหลับหูหลับตาสนับสนุนฝ่ายที่คนเชื่อถือ....

อึดอัดมาก! 

Tuesday 17 September 2013

สุนัขต้องห้าม 13 สายพันธุ์ในประเทศเดนมาร์ก อีก 12 สายพันธุ์กำลังตามมา

มกราคม 2013 - ในเดนมาร์ก มีการห้ามอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับสุนัข 13 สายพันธุ์ นับว่ามากที่สุดในโลก ที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นรายนามเป็นสายพันธุ์ต้องห้ามเลี้ยงในเดนมาร์กแล้ว และอีก 12 รายนามกำลังขึ้นชื่อ จะเรียงรายมาเพิ่ม รวมทั้งสิ้น 25 สายพันธุ์ จะต้องห้ามในอนาคตอันใกล้นี้

การอภิปรายจากนักการเมืองในเดนมาร์กดูจะมีแนวคิดเกินควบคุมโดยสิ้นเชิง ขณะที่รายงานข่าวออกมาว่า แม้จะมีการห้ามในปัจจุบัน แต่จำนวนของสุนัขกัดกันได้เพิ่มขึ้นและ ทำให้นักการเมืองและสื่อไม่สนใจข้อเท็จจริง มีการห้ามและเรียกร้องให้มีการต้องห้ามสายพันธุ์สุนัขมากขึ้น

เมื่อสัตวแพทย์ไม่เต็มใจที่จะสังหารสุนัข ไม่ใช่ด้วยปัญหาสุขภาพ แต่หากเป็นเพียงเพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสายพันธุ์ที่นักการเมืองเรียกร้อง ก็ขอให้คนที่ฝึกสุนัข "ทำมันด้วยตัวเอง"

แม้ว่ามีการแก้ไขวิธีการ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในประเทศนี้ และน่าสยองขวัญสำหรับสุนัขและเจ้าของสุนัขที่อาศัยอยู่ในประเทศเดนมาร์ก เช็คสเปียร์เคยเขียนเปรียบเปรยว่า กฏหมายในเดนมาร์ก เป็นเสมือน "สิ่งที่เน่าเสียในรัฐแห่งเดนมาร์ก" บางส่วนของหลายร้อยปีต่อมา สิ่งที่เขาเขียนไว้าได้รับการพิสูจน์ว่า มีหลายอย่างในเดนมาร์กเป็นเรื่องผิดกฎหมายและมีการร้องไห้ออกมาประท้วง เกี่ยวกับความชั่วร้ายนี้ มีการเรียกร้องให้เดนมาร์กหยุดความบ้าคลั่งนี้ในประเทศของพวกเขาและให้พวกเขากลับไปยังโลกศิวิไลซ์อีกครั้ง คำร้องระบุต่อไปนี้



สุนัขกว่า 400,000 ตัวตกอยู่ในอันตราย ที่ต้องถูกฆ่าให้ตาย!

ตั้งแต่มีคำสั่งห้ามสายพันธุ์ของสุนัข คำสั่งนี้ได้ส่งผ่านความอันตรายไปยังสุนัขกว่า  400.000 ตัว ต้องตกอยู่ในอันตรายในประเทศเดนมาร์กทันที  รัฐบาลได้ส่งผ่านภาระในการพิสูจน์สายพันธุ์ ให้แก่เจ้าของสุนัขที่มีลักษณะเหมือนสายพันธุ์เหล่านี้เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบสายพันธุ์เอง

ตอนนี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า สุนัขของพวกเขา ไม่ใช่สายพันธุ์ต้องห้ามดังกล่าว ซึ่งในขณะที่ชาวเมืองทุกคนกล่าวว่า "เราทุกคนรู้ว่าไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ด้วยดีเอ็นเอมันจะบอก ถ้าเราเป็นครอบครัวของสุนัขเหล่านี้ ไม่สามารถ ยกเว้นภาระการพิสูจน์ได้เลย  - และสุนัขของเราจะถูกฆ่าทันที...

สายพันธุ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตขณะนี้มีชื่อออกมาแล้ว 13 สายพันธุ์ ในเดนมาร์กมันผิดกฎหมายที่จะเลี้ยงหรือนำเข้าสายพันธุ์ต่อไปนี้ รวมทั้งห้ามเลี้ยงสุนัขข้ามสายพันธุ์ของสุนัขเหล่านี้ :

1. Pit Bull Terrier
2. Tosa อินุ (สุนัขต่อสู้ญี่ปุ่น)
3. เทอร์เรี Staffordshire อเมริกัน
4. Fila Brasileiro
5. Dogo Argentino
6. บูลด็อกอเมริกัน
7. Boerboel (สุนัขพันธุ์แอฟริกันใต้)
8. Turkish Kangal
9. Ovtcharka เอเชียกลาง
10. Ovtcharka white
11. Ovtcharka รัสเซียใต้
12. Tornjak
13. Sarplaninac


สำหรับสุนัขซื้อก่อน 17 มีนาคม 2010 ก่อนมีการออกกฎหมายมีการอนุโลมให้เลี้ยงได้ แต่มีมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากในการสังเกตุหรือเฝ้าดูการเลี้ยงดูสุนัขเหล่านี้

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อกระทรวงยุติธรรม (Justitsministeriet):

Monday 16 September 2013

อีก 17 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นอย่างไร : รายงานอนาคตโลกของสภาข่าวกรองสหรัฐ National Intelligence Council>>> Global 2030


โดย : อจ. สมเกียรติ โอสถสภา

อีก 17 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นอย่างไร ?

สำนักงานสภาข่าวกรองสหรัฐทำงานได้น่าที่ง ประมวลความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ เศรษฐกิจ ประชากร การต่างประเทศ อาวุธ สังคม และความคิดคน เป็นการทำนาย "อนาคตโลก" เพื่อวางแผนโลก เข้าใจโลก และเตรียมลงทุน รับมือ สร้างองค์กร สร้างคน ในโลกนี้

ผมจะสรุปให้ฟังคร่าวๆ แล้วค่อยขยายไปสู่ความคิดของจีน รัสเซีย และประเทศอื่นๆ

(1) สถานการณ์น้ำมัน
การค้นพบหินน้ำมันจำนวนมหาศาลของสหรัฐที่เรียกว่า oil shale พร้อมด้วยปริมาณการผลิตที่ทำให้ต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ กอปร์กับทรัพยากรจำนวนมหาศาลในจีน ที่ยังไม่มีเทคโนโลยี่ในปัจจุบัน จะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกอย่างแรง Opec จะแตก ประเทศในตะวันออกกลางจะยากจนลง อเมริกาจะเกินดุลการค้าจากการขายผลิตภัณท์จาก oil shale

จะส่งผลกระทบต่ิการวิเคราะห์รถไฟความเร็วสูงของไทย ราคายางพารา และปีโตรเคมีของไทยอย่างไรหนอ

(2) ประชากรโลก
2.1) คนในโลกจะเพิ่มจาก 6 พันล้านคนเป็น 8,4 พันล้านคน การเพิ่มส่วนใหญ่จะเพิ่มในประเทศที่ยากจน ประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มช้าหรือลดลงในบางประเทศ เพิ่มเยอะนะเนี่ย

2.2)  ประชากรโลกราว60% อาศัยในเขตเมือง เพิ่มจาก 50% ในปัจจุบัน

2.3)  อินเดียจะเป็นประเทศที่ประชากรมากที่สุดในโลก

2.4)  พลเมืองโลกที่นับถือศาสนาอิสลามเพิ่มเร็วที่สุด เพิ่มขื้น 35% จะมีจำนวน 2.2 พันล้านคน จากพลเมืองโลก 8.4 พันล้านคน ในปี 2030 อีก 17 ปีข้างหน้า

2.5) ความต้องการอาหารจะเพิ่ม 35% แต่ความต้องการน้ำเพิ่ม 40% ในหลายเขตของโลกจะเกิดปัญหาน้ำไม่เพียงพอ เกิดความขัดแย้งแย่งน้ำ จัดสรรน้ำภายในประเทศและระหว่างประเทศ ปัญหาหนักใน ตอ กลาง อาฟริกา จีน อินเดีย พื้นที่เกษตรของโลกลดลง แต่ผลผลิตอาหารมีเพียงพอ เพราะเทคโนโลยี่

2.6) เมืองในทุกประเทศจะเป็นแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 80% ของ GDP จะมาจากเขตเมือง อาฟริกาเป็นทวีปที่เขตเมืองเพิ่มเร็วสุดของโลก เมืองคือเขตที่คนอยู่กันหนาแน่น และมีวิถีชีวิตของชาวเมือง

2.7) เขตที่อาหารไม่เพียงพอคือ ตอ กลาง แต่จะมีคนขายให้เยอะมาก ไม่ต้องเว่อจำนำข้าว ตอนเย็นพระอาทิตย์ตก แต่ไม่ตกบนกระบาลพวกคุณแน่นอน

2.8) รู้มั้ยครับ ว่าอายุเฉลี่ยของคนญี่ปุ่น เยอรมันยุคนี้ คือ 44-45 ปี ยุโรปด้วย ใน17 ปีข้างหน้าคนแก่จะเต็มยุโรป ญี่ปุ่น และ เยอรมัน ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี่ของโลก เมื่อคนแก่ เศรษฐกิจจะไม่ค่อยขยายตัว อเมริกา เกาหลี ใต้หวันจะแก่ตามมา อนาคตเราเป็นมหาอำนาจได้ ถ้าไม่ล้มละลายเสียก่อน

2.9) จะเกืดการอพยพระหว่างชาติมาก เด็กไทยยุคนี้อยากไปอยู่เมืองหนาวเล่นบอลให้ทีมมิลาน เตรียมตัวได้ครับ

2.10)  โลกอนาคตจะเป็นโลกที่มีเมืองใหญ่มาก เลือกเมืองตามสบาย เมืองการค้า การศืกษา ที่อยู่ เมืองคนแก่ เมืองวัยรุ่น พยายามทำตัวเป็นหนุ่มสาวกันไว้ อย่าแก่เร็ว ให้ดูเซ็กซี่ไว้

ข้อมูลแค่นี้ก็วางแผนชีวิตได้แล้ว วิเคราะห์เจาะลืก วางกลยุทธ ชีวิตจะดีครับ!!

pocket book ปีล่าสุดของ The Economist ใกล้ตัวผมหายไปแล้ว เข้าใจว่าหมาของผมเอาไปอ่านหรือเคี้ยวเล่นเป็นอาหารเช้า ถ้าหาซิ้นส่วนเจอ ผมจะมาขยายความเรื่องเมืองในอนาคตนะครับ

ปี 2030 นายกจะมีอายุราว 47 ผมไม่ได้ research ว่าอายุปัจจุบัน นายกยังจะเป็นายกอยู่หรือเปล่า ใบหน้าคงคล้ายคุณยาย โกลด้า แมร์ มากทีเดียว ย่นงดงาม...

(3) ชีวิตคนปี 2030

โรคอันดับหนื่งของคนคือ โรคซืมเศร้า Depression ที่เกิดจากหลายสาเหตุ

  •  เกิดจากการว่างงาน งานไม่มั่นคง ความรู้สืกว่าเหลื่อมล้ำกับพวก"แชโบล" ถูกเก็บภาษีไปจ่ายโครงการหาเสียงของแชโบล นั่งด่ารัฐบาลมากเกินเหตุ จะเป็นกันทั่วโลก
  • ความแออัดของเมือง ขาด city park ห้องนอนเล็ก ระบบ KPI ในที่ทำงาน มีความแตกต่างระหว่างคนทำงาน outsource กับพวกพนักงานประจำ infrastructure เก่า เพราะขาดการลงทุนใหม่ๆ
  • ปัญหาครอบครัว การเลี้ยงดูผู้สูงวัย การวิวาทในครอบครัว การอยู่ตัวคนเดียว การแต่งงานมีน้อยลง ยุคใหม่ กติกาใหม่ครับ ชีวิตทางเพศของคนกลับไปสู่ยุคโรมัน สปาร์ตาคัส ไปซื้อแผ่นมาดู หวาดเสียวมาก
  • คนจะมีปัญหาหนี้กันมาก ตลาดหุ้นผันผวน วัฏจักรธุรกิจเปลี่ยน รวดเร็ว รุนแรง ผู้ประกอบการอิสระจะเหนื่อย คู่แข่งเยอะ (เอ๊ะ หรือ จะเป็น ลูกจ้างดีกว่า) 
  • คนเป็นโรคจิตกันมาก
  • สงคราม อาชญากรรมเยอะ สิ่งแวดล้อมแย่ลง ต้องชอบฟังเพลง เลี้ยงหมา แมว รักต้นไม้ มีอารมณ์ขันเข้าไว้ 

สถานการณ์โลกอนาคตที่ว่านี้เอาไปใช้เป็นเหตุผลหว่านล้อมให้แฟนแต่งงานด้วย ได้เลย คนกลัวความเสี่ยงครับ....

ตามบทความของ อจ. เราคงต้องเน้นเอา...ฮาเข้าไว้