Friday, 10 June 2016

ฆาตกรนักล่าพรหมจรรย์ สัตว์ร้ายในป่าโกงกาง


หลายคนเมื่อได้รู้ประวัติอาชญากรต่างๆ แล้วจะรู้สึกเกลียดชังคนพวกนี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด หากแต่ว่า สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังชีวิตของฆาตกร เหล่านั้นต่างหาก ที่น่ากลัว ส่วนมาก มาจากการถูกเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคนเลี้ยงดูพวกเขา จะไม่ใช่ฆาตกรเอง แต่ทว่า พวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากฆาตกร เพราะเท่ากับเป็นผู้ให้กำเนิดหรือปลูกสร้างปีศาจมาเป็นฆาตกรนั่นเอง


แดเนียล คาร์มาโก้ อาชญากรชื่อดังระดับโลก ที่เกิดจากการเลี้ยงดูและเติบโต มาท่ามกลางความรุนแรงในครอบครัว เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ในปี 1984. ช่วงธันวาคม ไปจนถึงกุมภาพันธ์ 1986. ที่ประเทศเอกัววาดอร์ มีข่าวการพบศพเด็กหญิงและหญิงสาวจำนวนมาก ถูกร่ำลืออย่างหนาหู และข่าวแพร่สะพัดออกไปจนเป็นที่ตระหนกต่อผู้คนทั่วประเทศ และคาดว่าหญิงสาวเหล่านี้น่าจะถูกล่อลวงมาข่มขืน ก่อนที่จะถูกสังหารอย่างเลือดเย็น โดยศพที่พบนั้นถูกพบห่างไกลจากสายตาผู้คน ในป่ารกร้าง หลายศพเปลือยเปล่า หลายศพถูกทำร้ายด้วยของมีคม บางศพมีสภาพเลวร้ายมาก และมีหลายศพถูกแบ่งชิ้นส่วนออกจากกันเป็นช้ันๆ เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทุกศพเป็นผู้หญิง อยู่ในวัยต่างๆ กัน ตั้งแต่เด็กหญิงไปจนถึงหญิงสาว และทุกศพล้วนเป็น "สาวพรหมจรรย์ "


สำหรับในประเทศเอกัววาดอร์นี้ เป็นประเทศที่มีแก๊งส์อันธพาลและกลุ่มคนผิดกฏหมายมากมาย ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าฆาตกราี่แท้จริงจะเป็นชายร่างเล็ก ผอม ท่าทางอ่อนแอ ขี้โรค. ยากจะเชื่อได้ว่าชายคนนี้จะฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมาแล้วกว่า 70 ศพ นั่นคือจำนวนศพของเหยื่อที่เชื่อกันว่าน่าจะมีมากถึง 150 ศพ อย่างแน่นอน ในพท. ที่ลงมือสังหารเหยื่ออยู่ในเขตโนโบว์ เป็นพท. นอกเขตย่านชุมชนและเป็นป่าโกงกาง นี่เองจึงเป็นเหตุให้มีการเรียกฆาตกรรายนี้ว่า "สัตว์ร้ายแห่งป่าโกงกาง"


แดเนียล คาร์มาโก้ หรือแดเนียล คาร์มาโก บาโบว์ซ่า เกิดวันที่ 22 มกราคม ปี 1930. ซึ่งสถานที่เกิดไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัด แต่คาดกันว่าจะอยู่บริเวณแอนดิสต์ ประเทศโคลัมเบียร์ ช่วงวัยเด็กของแดเนียล เขาต้องเริ่มต้นชีวิตอันแสนเจ็บปวดเลวร้าย หลังจากที่แม่เสียชีวิตไป ตอนเขามีอายุแค่ 1 ปีเท่านั้น พ่อของแดเนียลปัญหาพื้นฐานทางจิตจากความรู้สึกที่ว่า ตนเองอยากจะมีลูกสาวอย่างรุนแรง หลังจากนั้นพ่อของแดเนียลแต่งงานใหม่ แต่ภรรยาใหม่มีบุตรยาก เมื่อภรรยาใหม่ไม่สามารถมีบุตรสาวให้ตามต้องการ เพื่อตอบสนองอาการคลั่งไค้ลบุตรสาว พ่อของแดเนียลจึงจับแดเนียลแต่งกายเป็นเด็กผู้หญิง จนถึงการไปโรงเรียนแดเนีลก็ต้องแต่งกายเป็นเด็กผู้หญิงไปโรงเรียน แดเนียลต้องรับสภาพจากการถูกเหยียดหยาม ถูกล้อเลียนโดนเพื่อนๆ เยาะเย้นถากถางในโรงเรียน และกลายเป็นเด็กที่มักถูกถากถางใน. รร. แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนคำสั่งจากผู้เป็นพ่อได้ เพราะเมื่อขัดขืนเมื่อใด แดเนียลจะถูกลงโทษด้วยความรุนแรง โดนเหล็กแหลมทิ่มแทง จนเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจ


การถูกเลี้ยงดูโดยพ่อที่มีความรุนแรงและเผด็จการ. ทำให้แดเนียลมักจะถูกทำร้านร่างกายอย่างทารุณ จนราวกับว่าความเจ็บปวดเหล่านั้น ไม่มีวันสิ้นสุดสำหรับแดเนียล และบางครั้งลุงของเขามาพบเข้า ก็จะห้ามปรามมิให้พ่อทำร้ายเขาอย่างป่าเถื่อน ตั้งแต่วัยเด็กแดเนียลนับว่าเป็นเด็กมีสติปัญญาดี มีความเฉลียวฉลาดและเป็นเด็กมีผลการเรียนดี มีความฉลาดมากกว่าเด็กคนอื่นๆ แดเนียลคาดหวังไว้ว่าในอนาคตเขาจะได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วความหวังของเขาก็ถูกทำลายอย่างหมดสิ้น เมื่อพ่อของเขาสั่งให้ออกจาก. รร. เพื่อมาทำงานหารายได้ช่วยครอบครัว นั่นยิ่งทำให้ความเกลียดชังพ่อของเขา ถูกสะสมมากยิ่งขึ้นไปอีก แดเนียลนั้นตนเองรู้สึกว่าเติบโตมาอย่างคนขาดความรักจากแม่ เขาจึงต้องการความรักจากหญิงสาวมาทดแทน ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดชังแม่เลี้ยงที่เห็นดี เห็นงามส่งเสริม ให้พ่อเขาลงโทษเขาอย่างทารุณ หรือบังคับให้เขาต้องแต่งกายเป็นผู้หญิง ความรู้สึกที่เขาจงเกลียดจงชังแม่เลี้ยงนั้นผสมปนเปกับความต้องการความรักจากผู้หญิง จนไม่สามารถแยกความขัดแย้งเหล่านี้ออกจากกันได้


ในปั 1960. แดเนียลเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในวัย 30 ปี และเขาพบรักกับผู้หญิงคนสำคัญคือ แอลซิล่า ซึ่งเธอได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลนับแต่บัดนั้น แดเนียลหลงรักแอลซิล่าอย่างหัวปักหัวปำ ซึ่งเธอเป็นเหตุให้เขาแยกตัวออกมาจากครอบครัว เพื่อแต่งงานและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอโดยเขาวาดฝันไว้ว่า แอลซิล่านี่แหละคือ ผู้ที่จะมาชำระล้างความทุกข์ระทมในจิตใจ ที่เขาต้องเผชิญมาแต่เมื่อครั้งวัยเยาว์ แต่อีก 6 ปีต่อมาแดเนียลก็จับได้ว่าแอลซิล่าภรรยาสุดที่รัก กำลังระเริงร่วมรักกับชายชู้บนเตียงนอน ของเขา นับแต่นั้นเป็นต้นมา แดเนียลมีจเตใจเต็มไปด้วยความหดหู่ ซึมเศร้าู เคียดแค้น ชิงชังผู้หญิงฝังแน่นอยู่ในจิตใจ นี่จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มมองหาวิธีการแก้แค้นผู้หญิง ปีศาจร้ายครอบงำภายใต้จิตใจของเขา แดเนียลเริ่มก่อคดีข่มขืนหญิงสาว และมีคดีฆาตกรรมอีกหลายคดีตามมาในเวลาต่อมา


หลังจากเลิกรากับอดีตภรรยา แอลซิล่า แล้วแดเนียลก็คบหากับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งเธอก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก เพราะเธอเป็นคนที่คอยส่งเสริมล่อลวงเหยื่อเด็กสาวบริสุทธิ์ มาให้แดเนียลทำการข่มขืนที่อพาทเม้นต์ ด้วยการมอมยากับใช้ยาสลบโดยเหยื่อส่วนมาก ก็เป็นเด็กสาวอายุน้อยๆ ง่ายต่อการล่อลวงได้ง่ายๆ แดเนียลกับแฟนใหม่ ร่วมมือกันก่อคดี ข่มขืนกระทำชำเราเด็กสาวต่อเนื่องกันถึง 5 ราย จนต่อมาทั้งคู่ก็ถูกตำรวจตามจับกุมแต่ต้องแยกย้ายกันไปติดคุกในปี 1964 ในเบื้องต้นแดเนียล คาร์มาโก้ ได้ถูกตัดสินให้ถูกจองจำในคุกเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งนั้นเพราะต้องการทำให้เขาคิดได้ว่า เมื่อเขาออกไปแล้วก็จะกลับตัวกลับใจใหม่ ไม่ไปข่มขืนใครอีก แต่คำตัดสินที่เขาได้รับในภายหลัง ศาลสั่งจำคุกแดเนียล เพิ่มขึ้นอีกถึง 8 ปี ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกเคียดแค้นชิงชังผู้คน และกระบวนการยุติธรรม จนถึงกับสาบานว่าหากเขาพ้นจากกรงขังมนุษย์ (คุก) แห่งนี้ไปได้ เขาจะก่อคดีให้มากขึ้น ให้รุนแรงขึ้น และที่สำคัญเขาจะไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาดปล่อยให้เหยื่อรอดชีวิตมาเอาผิดเขาได้อีกต่อไปแม้แต่คนเดียว

หลังพ้นโทษแดเนียลได้ถูกจับกุมอีกครั้งที่ประเทศบราซิล แต่เพราะทางการบราซิลติดขัดเรื่องเอกสารทางด้านอาชญากรรม ทำให้เขาเพียงถูกลงโทษด้วยการเนรเทศกลับไปยังประเทศโคลัมเบียเท่านั้น การกลับมาที่ประเทศโคลัมเบียครั้งนี้ เขาได้ใช้ชื่อปลอม และได้เข้าไปทำงานเป็นเซลส์ขายโทรทัศน์ และนี่ทำให้เขาได้พบกับเด็กหญิง 9 ขวบเข้าโดยบังเอิญ โดยเขาเดินผ่านหน้าโรงเรียนของเธอ เขาบอกกับตัวเองทันทีว่าเขาได้ตกหลุมรักเด็กหญิงผู้นี้เสียแล้วอย่างจัง และเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าชังคนนี้ จะต้องเป็นเหยื่อคนแรกของเขาหลังจากที่ได้พ้นโทษออกมาแล้ว แดเนียลทำตามคำสาบานที่ได้ให้ไว้กับตัวเองในคุก เขาลงมือข่มขืนเด็กหญิงวัย 9 ขวบอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดหวาดกลัวของเด็กน้อย ไม่ได้ทำให้ใจของแดเนียลอ่อนลงแม้แต่นิดเดียว ในท้ายที่สุด เขาก็บีบคอเด็กน้อยจนเสียชีวิตคามือ เพื่อไม่ให้มีพยานหรือผู้เสียหายหลงเหลือบนโลกนี้อีกต่อไปตามที่ได้ตั้งใจไว้

แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะแม้ว่าเหยื่อจะเสียชีวิตก็ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกมากมายที่หลงเหลือพอจะทำให้ตำรวจตามจับแดเนียลได้ในเวลาไม่นานนัก ในการพิจารณาคดีครั้งนี้แดเนียลได้ถูกตัดสินลงโทษให้จำคุก ตลอดชีวิต และจากการก่อเหตุสะเทือนขวัญร้ายแรง ทำให้เขาต้องถูกส่งตัวไปจำคุกที่เรือนจำพิเศษ ณ. เกาะกอร์กอน ในมหาสมุทรแปซิกฟิกออฟโคลัมเบัย เกาะกอร์กอนเป็นเกาะภูเขาไฟอยู่กลางทะเล ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งถึง 28 กม. โดยจุดเด่นของเกาะแห่งนี้คือ ทะเลรอบๆเกาะมีน้ำเชี่ยวกราดรุนแรงและเป็นอันตรายมาก และเต็มไปด้วยฉลามฝูงใหญ่เวียนว่ายอยู่รอบเกาะ จึงทำให้เรือนจำบนเกาะแห่งนี้ยอมรับว่าเป็นเรื่อนจำบนเกาะที่มีรั้วปราการธรรมชาติที่อันตรายเกินว่าที่นักโทษจะกล้าหลบหนีออกไปได้ ซึ่งเหมาะสมแล้วกับแดเนียลใจโหด นักโทษอันตรายคนนี้

แม้ว่าคุกกอร์กอน จะรายล้อมไปด้วยอันตรายรอบเกาะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้แดเนียลตัดความคิดที่จะหลบหนีไปได้ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่เคยคิดจะทิ้งชีวิตที่เหลือไว้บนเกาะแห่งนี้ นั่นจึงทำให้เขาคิดวางแผนการณ์ และหาจุดอ่อนของเรือนจำแห่งนี้ จนในที่สุดแดเนียลก็พบว่า เรือนจำแห่งนี้ดูเหมือนจะมีการควบคุมรัดกุมแน่นหนา หากแต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่ และผู้คุมต่างก็เชื่อมั่นมากเกินไปว่า ไม่มีนักโทษคนใดในโลกนี้จะหลบหนีออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้ และจะมีชีวิตเหลือรอดกลับไปอย่างแน่นอน แต่แดเนียลกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเฝ้ามองจังหวะเวลาในการทำงานและจับตาดูพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ รวมไปถึงคอยสอดส่องเก็บข้อมูลภูมิประเทศโดยรอบ

จนแดเนียลพบเจอช่องโหว่ของเรือนจำแห่งนี้ คือ ความประมาทของเจ้าหน้าที่เรือนจำนั่นเอง แดเนียลเตรียมแผนการณ์ทั้งหมดเอาไว้ สำหรับการหลบหนี และเฝ้าอดทนรอจังหวะเวลาจากโอกาสอันน้อยนิดจนเวลานั้นมาถึง ช่วงยามบ่ายของวันที่ 23 พ.ย. ปี 1984 โอกาสที่เฝ้ารออย่างเนิ่นนานก็มาถึง เพียงแค่ชั่วพริบตาที่เจ้าหน้าที่และผู้คุมกำลังประมาทเลินเล่อ แดเนียลใช้เวลานั้นหลบสายตาจากผู้คุมหนีออกมาจากเรือนจำได้อย่างง่ายดาย แล้วเขาก็มุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง และใช้เรือเล็กสภาพเก่าๆ ที่ถูกผูกทิ้งร้างเอาไว้ฝ่ากระแสคลื่นออกไปในทะเล เขาคิดแต่ภาพที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ได้สนใจเลยว่าภายในเรือไม่มีทั้งน้ำและอาหารการยังชีพ ที่จะใช้ชีวิตในทะเลแต่แดเนียลก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขาคิดว่าเขาไปเผิชญธรรมชาติสุดโหดกับฝูงฉลามมันยังดีกว่าที่เขาจะทนติดคุกไปจนวันตาย ในขณะทางเรือนจำกอร์กอน เมื่อเจ้าหน้าที่รู้ตัวแล้วว่ามีนักโทษหลบหนี ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สนใจจะติดตาม เพราะไม่คิดว่าใครจะมีชีวิตรอดไปได้กับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ในเกาะและเรือนจำจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว โดยเฉพาะการนำเรื่อเก่าๆสภาพซอมซ่อฝ่าฝูงฉลามอันดุร้าย ก็ไม่ต่างกับการโดดลงทะเลดังนั้นทางเรือนจำจึงเชื่อว่า แดเนียล คาร์มาโก้ ได้เสียชีวิตแล้วแน่นอน

ไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของแดเนียลแม้แต่น้อย เพราะเจ้าหน้าที่เรือนจำประมาทมากเกินไป ทำให้อีก 3 วันต่อมา เขาก็สามารถพายเรือบุโรทั่งมาถึงชายฝั่งได้สำเร็จ โดยไร้เงาเจ้าหน้าที่ออกไล่ล่าติดตามมาเลย หลังขึ้นฝั่งแดเนียลใช้วิธีเดินเท้าและโบกรถที่ผ่านไปมา และเดินทางไปเรื่อยๆ แบบค่ำไหนนอนนั่นอย่างไม่มีจุดหมาย จนพ้นเขตแดนของบราซิล ข้ามไปยังโคลัมเบีย จนไปถึงเอกัววาดอร์ และที่นี่เองเป็นดินแดนแห่งการก่อฆาตกรรมครั้งใหม่ของแดเนียล คาร์มาโก้ ผู้ก่อคดีฆ่าสาวพรหมจรรย์มากมายถึง 150 ศพ

เหตุการณ์ร้ายครั้งแรกที่เกิดในเอกัววาดอร์ ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 1984 ณ. เมืองเกเบโด้ บริเวณชายฝั่งของเอกัววาดอร์ จากการพบศพเด็กหญิงวัย 9 ปี คนหนึ่ง หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ชาวเมืองก็ต้องแตกตื่นหวาดผวา เมื่อเด็กหญิงวัยไม่เกิน 10 ปี ทะยอยหายตัวกันไปอย่างต่อเนื่อง โดยหลังการหายตัวไป เด็กๆ เหล่านั้น ก็มักจะถูกพบเป็นศพดูน่าสยดสยองในสภาพเปลือยเปล่า และมีร่องรอยถูกข่มขืนก่อนจะถูกสังหารทุกราย ซึ่งศพเด็กสาวจำนวนมากถูกค้นพบริมถนนโกโบว์ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าโกงกางหนาทึบ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเอกัววาดอร์สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของพวกแก้งส์นอกกฏหมาย ที่มีสมาชิกเป็นนักเลงอันธพาลกระจัดกระจายกันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทั้งตำรวจและชาวเมือง ไม่มีใครสงสัยเลยว่า เป็นฝีมือจากชายเร่ร่อนรูปร่างผอมบางเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

แดเนียลไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง และเอาตัวรอดไปวันๆโดยการใช้เงินทองเล็กๆ น้อยๆ ที่ติดตัวเหยื่อมาเท่านั้น ทำให้ในบางครั้งเขาต้องทำตัวเป็นขอทานอยู่ริมถนน บางครั้งก็ต้องนำเอาเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับของเหยื่อมาเร่ขายถูกๆ แม้ว่าความเป็นอยู่จะไม่สบายนัก แต่แดเนียลก็ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไร เพราะค่าครองชีพของที่นี่ต่ำมาก อีกทั้งเขายังพอใจที่จะใช้ชีวิตด้วยการเร่ร่อนออกหาเหยื่อใหม่ๆ เขาไปทั่วตามเมืองต่างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองวายานฟิวส์ จีโต้ บาราโต้ มาเชลล่า โกโบว์ เกเบโด้ ก่อนลงมือก่อเหตุตามสถานที่ต่างๆ อย่างไม่เจาะจง ทำให้ตำรวจยากที่จะหาทางป้องกัน หรือติดตามร่องรอยของคนร้ายได้ แดเนียลจึงก่อเหตุสะเทือนขวัญอย่างยาวนานถึง 2 ปี คือตั้งแต่ปี 1984-1986 เขาข่มขืนและฆ่าหญิงสาวไปแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ราย ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นเด็กหญิงอายุน้อย ไปจนถึงผู้หญิงท่าทางอ่อนแอและอยู่คนเดียว

วิธีการหาเหยื่อคือ การเข้าไปตีสนิทกับเหยื่อ โดยอ้างว่าตนเองเดินทางมาจากประเทศอื่น และต้องการเดินทางไปพบกับบาทหลวงนิกายโปรแตสแตนส์ อยู่ย่านชานเมือง พร้อมทั้งเสนอค่าตอบแทนจำนวนมากสำหรับผู้ที่จะช่วยเหลือนำทาง จำนวนเงินที่แดเนียลใช้ล่อเหยื่อมากพอจะทำให้หลายๆ คนตกลงใจนำทางให้เขา จนเมื่อเข้าสู่ป่าที่ห่างจากผู้คน แดเนียลก็ลงมือข่มขืนแล้วบีบคอเหยื่อจนถึงแก่ความตาย หากเหยื่อต่อสู้ดิ้นรนขัดขีนอย่างรุนแรง เขาก็จะใช้มีดปลายแหลมแทงเข้าไปที่ร่างของเหยื่อเพื่อหยุดการต่อต้านหลังจากนั้นศพที่ถูกข่มขืนก็จะถูกนำไปซ่อนไว้ในป่าที่ยากจะพบเจอ นับวันแดเนียลก็มีความสุขกับการล่าเหยื่อแล้วข่มขืนฆ่าปิดปาก โดยที่ไม่มีใครเลยที่สงสัยในตัวเขา จนเขาย่ามใจและลงมือก่อเหตุที่รุนแรง และเหี้ยมโหดมากขึ้นเรื่อยๆ

แดเนียลกำลังเสพติดการข่มขืนสาวบริสุทธิ์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทุกครั้งที่ก่อเหตุเขาจะดื่มด่ำกับภาพตรงหน้ารวมไปถึงจดจำสถาณการณ์และจดจำอารมณ์ในช่วงเวลานั้นไว้อย่างละเอียดละออ ดังนั้นเขาจึงสามารถบรรยายเหยื่อแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าจำนวนเหยื่อของเขาจะมีจำนวนมากมายและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม

วันที่ 26 กพ. เป็นอีกวันที่แดเนียลลงมือก่อเหตุฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 9 ปี ที่มีชื่อว่า เอลิซาเบธ หากแต่ว่าในวันนั้นเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวณบริเวณก่อเหตุเข้าพอดี ทำให้พวกเขาได้พบกับแดเนียล ที่แสดงอาการตื่นตกใจเมื่อเผิชญหน้ากับตำรวจอย่างกระทันหัน อาการลุกรี้ลุกลน มีพิรุธทำให้ตำรวจเริ่มสังเกตุเห็นว่า เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและกระเป๋าเดินทางของแดเนียลมีร่องรอยเลือดติดอยู่ ซึ่งเป็นเลือดจากเหยื่อรายล่าสุดนั้นเอง เมื่อพบความผิดปกติตำรวจจึงออกกระจายกำลังค้นโดยรอบ และพบหลักฐานมากมาย รวมทั้งโครงกระดูก และยืนยันได้ว่าแดเนียลคือฆาตกรตัวจริงที่สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนทั่วบ้านทั่วเมือง หลังจากค้นพบหลักฐานทำให้แดเนียลปฏิเสธอะไรไม่ได้่ เขาสารภาพออกมาทั้งหมดตั้งแต่แต่เขาแหกคุกกอร์กอนออกมาสำเร็จเขาก็ได้ฆ่าหญิงสาวไปแล้วมากมาย กว่า 100-150 ศพ บางศพยังค้นไม่พบหรือเน่าเปื่อยไปแล้ว แดเนียลมีความอำมะหิตเลือดเย็นราวกับปีศาจ ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่ได้มีความสำนึกผิดสักนิดเลยแม้แต่น้อย แถมยังโอ้อวดอีกว่า เหยื่อของเขาที่เป็นสาวบริสุทธิ์ เพราะการฆ่าเหยื่อที่เป็นสาวบริสุทธิ์ จะทำให้เขามีความสุขอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า การตายของเหยื่อคือการแสดงออกถึงความเคียดแค้นชิงชังของเขาที่มีต่อความไม่ซื่อสัตย์ของสตรีเพศ

เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานสรุปคดีฆาตกรรมของแดเนียลเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตได้ 71 ราย โดยศาลพิภากษาจำคุกเขานาน 16 ปี และแดเนียลได้อยู่ร่วมคุกกับฆาตกรระดับตำนานโลก เช่น เมโดร อลองโซ่ โลเปซ ฆาตกรต่อเนื่องแห่งเทือกเขาแอนติสต์ ที่ลงมือสังหารเหยื่อกว่า 300 ศพ ระหว่างที่แดเนียลกำลังใช้ชีวิตในคุกโซนนักโทษอันตราย นักข่าวชื่อ ฟานซิส คอนเดรโร่ พยายามเข้าไปสัมภาษณ์แดเนียลในคุก แต่ พท. โซนนักโทษอันตรายจะไม่ยอมให้ใครเข้าไปง่ายๆ ฟรานซิส จึงแอบอ้างว่าเขาเป็นนักจิตวิทยา เขาจึงเข้าไปในนั้นได้สำเร็จ หลังการสัมภาษณ์เสร็จสิ้น นักข่าวจึงออกมาให้ข้อมูลแก่สังคมภายนอกว่า แดเนียล คาร์มาโก้ เป็นชายผอมบางร่างเล็ก ที่มีส่วนสูงเพียง 165 เซ็นติเมตรเท่านั้น เขาเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดจนปากเป็นสีดำคล้ำ หน้าผากกว้าง ผมบาง และมีฝ่ามือขนาดใหญ่ ฟรานซิสให้ความเห็นว่า ไม่ว่าจะดูยังไงแดเนียลก็เหมือนกับคนอ่อนแอขี้โรคมากกว่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปทั้งเมืองได้ อย่างไรก็ตามจากการทดสอบระดับเขาว์ปัญญาพบว่า แดเนียลมีระดับไอคิวค่าเฉลียสูงกว่าคนทั่วไป นับได้ว่า เขาเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ต้องเข้าสู่เส้นทางอาชกรรม คำตอบการสัมภาษณ์ของฟรานซิสนั้น เขาตอบคำถามอย่างรอบรู้ เต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิความรู้ จากการอ่านหนังสือมากมายในห้องสมุดในเรื่อนจำ แดเนียลชอบศึกษาหาความรู้ ศึกษาวรรณกรรมต่างๆ หลายเล่ม เขาสนใจทางทฤษฏีทางจิตวิทยาของซอกมันฟรอยด์ และนักจิตวิทยาคนอื่นๆ อีกหลายคน รวมถึงเขามีความสนใจศึกษาทางด้านศาสนศาสตร์อีกด้วย

แดเนียลใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในคุกเรือนจำสูงสุดในเอกาวาดอร์ และหันมานับถือศาสนาคริสต์ ปี 1994 ช่วงเดือน พย. ผู้คุมและนักโทษคนอื่นๆ ต้องตกตลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อร่างของแดเนียลถูกแทงด้วยมีดจนพรุนไปทั้งตัว ก่อนที่จะสิ้นใจตายไปอย่างทรมาณ พยานในที่เกิดเหตุให้การว่า ผู้ที่ลงมือสังหารแดเนียลคือนักโทษคนนึงที่มีญาติเป็นเหยื่อจากการข่มขืนฆ่าของแดเนียล ในวันเกิดเหตุแดเนียลใช้ชีวิตตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ นักโทษมือสังหารก็พุ่งตรงมายังแดเดียลพร้อมกดเขาให้ลงไปนั่นในท่าคุกเข่าแล้วมือสังหารก็ตะคอกใส่แดเนียลว่า นี่เป็นเวลาแห่งการชำระแค้น ทันทีสิ้นเสียงเขาก็แทงไปที่แดเนียลหลายครั้ง จนเลือดทะลักออกมานองพื้นและนักโทษมือสังหารก็ก้มลงไปดื่มกินเลือดของแดเนียลจนกระทั่งผู้คุมมาลากตัวเขาออกไป นั่นจึงสิ้นชื่อและสิ้นตำนานของนักล่าพรหมจรรย์ สัตว์ร้ายแห่งป่าโกงกาง

ที่มา:  Birdy-CH3 อาชญากรรมสะท้านโลก     

Wednesday, 8 June 2016

เนื้อมนุษย์บรรจุกระป๋อง หลอกว่าเป็นเนื้อบดปรุงรส ส่งขายทั่วแอฟฟริกา


เนื้อมนุษย์บรรจุกระป๋อง หลอกว่าเป็นเนื้อบดปรุงรส ส่งขายทั่วแอฟฟริกา!!

เรื่องนี้ฟังมาจากยูทูบต่ะ มีเนื้อหาว่า รัฐบาลจีนได้ถูกบังคับให้ออกมาปฏิเสธรายงานอย่างเกรี้ยวโกรธว่า ใช้เนื้อมนุษย์บรรจุเป็นเนื้อกระป๋องบดปรุงรส และส่งขายไปยังร้านขายของชำทั่วแอฟริกา เจ้าหน้าที่ของปักกิ่งก้นต้องลุกเป็นไฟ ด้วยข่าวของแอฟฟริกันหลายช่องจากการเปิดเผยของนางสาวบาบาร่า อโควซัวร์ อโบเซ Barbara Akosua Aboagye ผู้ใช้ Facebook ในโพสต์ที่แชร์กว่า 26,000 ครั้ง และถูกลบทิ้งแล้ว

Msanzi เว็บไซต์แอฟริกาใต้ และเดลี่โพสต์ เพิ่มดีกรีความแรงเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยกล่าวว่าจีนได้ส่งออกเนื้อมนุษย์ เนื่องจากมีประชากรล้นประเทศ ส่งผลให้มีปัญหาในการหาพื้นที่ฝังศพ

Yang Youming (นายหยาง หยาว หมิง) เอกอัครราชทูตจีนประจำแซมเบีย ออกแถลงการณ์ว่า “ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ท้องถิ่นแพร่กระจายข่าวลืออย่างเปิดเผย โดยอ้างว่าจีนใช้เนื้อของมนุษย์ทำเนื้อบดปรุงรสส่งขายให้แอฟริกา นี่เป็นการให้ร้ายที่รุนแรง ซึ่งทางเราไม่สามารถยอมรับได้ เราขอแสดงความไม่พอใจอย่างสูงสุดและขอประณามผู้กล่าวหาทางเรา”


สิ่งที่ตลกที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ ภาพทั้งหมดเป็นภาพจริงจาก Capcom ในปี 2012 เพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมเกม Resident Evil 6 ซึ่งมีร้านขายเนื้อปลอม พร้อมรูปปั้นของสิ่งนี่ดูเหมือนเนื้อมนุษย์..

จะโกรธคนที่เชื่อข่าวก็ไม่ได้เพราะว่า ดูจากคุณภาพและข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับการปรุงและทำอาหารการรักษาอนามัย ของจีน ชวนจินตนาการในทางร้ายแค่ไหนว่าเขาจะทำได้ ถึงแม้จะไม่ใช่เนื้อมนุษย์แต่เราจะเชื่อได้อย่างไร ว่าในกระป๋องที่ผลิตมาจากจีนเหล่านั้น เป็นเนื้อวัว จริงๆ ...

หายหิวเลยค่ะ เจอข่าวนี้ !!! 


Monday, 6 June 2016

องค์กมี Career Pathเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ หรือยัง ??


โดยส่วนตัว เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่อง Career Path (เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ)  มาแต่เริ่มแรกที่ ทฤษฏีตัวนี้ออกมาฮิตติดอันดับกิจกรรมกันเลย ... ส่วนตัวก็ Debate โต้แย้ง มาตลอด ว่าแต่ว่า แผนเส้นทางอาชีพมีอะไรบ้าง ...ตำราว่ามีตามนี้ค่ะ 

การออกแบบเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง (อ้างอิงจาก JobBD มาค่ะ)  
1. ระดับตำแหน่งงาน (Career Level) ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นจะบอกถึงความก้าวหน้าจากการทำงานอาชีพนั้น ๆ เช่น

  • ระดับเจ้าหน้าที่
  • เป็นหัวหน้างาน
  • เป็นระดับอาวุโส
  • เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ
  • เป็นรองผู้จัดการ
  • เป็นผู้จัดการ
  • เป็นผู้บริหารระดับสูง
ในสายงานของคุณต้องผ่านตำแหน่งอะไรบ้าง จึงจะไปถึงตำแหน่งที่คุณใฝ่ฝัน ใช่มั้ย ? 

ทั้งหมดข้างต้นนี้ สรุปง่ายๆคือ การออกแบบองค์กร หรือ สร้าง Organisation Chart ค่ะ ระบุหน้าที่ในงานฝ่ายหนึ่ง มีตำแหน่งอะไรบ้าง มีกี่ระดับ จุดอ่อนของหลายๆ องค์กร และ หลายๆ เจ้านายคือ เอางานไม่ใช่งานในฝ่ายมาแปะตามอำเภอใจ ตามใจรัก โดยเอางานมาฝังในตำแหน่งที่ไม่ตรงหน้าที่ หรือ หน้าที่ที่ไม่ตรงผ่ายงาน ส่งผลทำให้การวัดผล การพัฒนางาน การพัฒนาคน ไปต่อไม่ได้คือ ได้ไม่สมบูรณ์ และเมื่อเขาควรโตในสายงานเขา แต่มาฝังในแผนกไม่ใช่ก็ทำให้เขาทำงานไม่ตรงตำแหน่ง และพัฒนาในสายอาชีพไม่ถูกต้อง เคยได้ยินน้องคนนึงมาถามว่า พี่คะหนูจะบอกเขาว่าไง หนูทำอันนี้ แต่มาอยู่แผนกนี้ ชื่อตำแหน่งมันว่ายังงี้ แต่หนูไม่ได้ทำเลย ทำแต่งานของ Admin.?  เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็สร้างแผนพัฒนาอาชีพก็พอได้ค่ะ แต่ได้แบบแคะๆ แกร็นๆ 
   
2. เป้าหมายของงาน (Target Job) ต้องมองว่าตำแหน่งที่คุณต้องการจะขึ้นไปนั้นต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างไร มีผลงานในระดับใด ต้องใช้ทักษะอะไร ต้องมีประสบการณ์อะไรมาบ้าง หรืออาจวัดจากคุณภาพของงาน ปริมาณงานที่ทำ และอายุงานเป็นเกณฑ์กำหนด คุณควรศึกษาและหาทางพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นให้ถูกทาง

3. ขอบเขตของหน้าที่ (Functional Area) การจะเลื่อนตำแหน่งได้ นั้น คุณต้องสามารถรับผิดชอบงานที่มากขึ้นได้ด้วย ทั้งในเชิงปริมาณและขอบเขตงานที่กว้างขึ้น ทั้งนี้ควรศึกษาถึงขอบเขตของงานและหน้าที่ที่คุณจะต้องทำในตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าด้วย 

เอาหละ ดิฉันขอสรุปใหม่ว่าแท้จริงแล้วเราต้องการ...

1. องค์กรต้องมี Oganisation Chart ที่ชัดเจน และ มี JD กับ ระบุทักษะในหน้าที่ให้ชัดเจน

2. ทักษะที่ว่าคือ ทักษะที่จะทำให้พนักงานทำงานได้ โดยกำหนดตัววัด ว่าทำอะไร ทำได้ดีชั่วเท็จจริงประการใด เป็น KPI สำหรับงานในหน้าที่ และ

3. ทักษะของสมรรถนะที่ทำให้ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เราเรียกว่า Competency ค่ะ
มีองค์ประกอบ 3 ส่วน สั้นๆ ง่ายๆ ใน 1-2 แผ่นของการดาษทำการ(บันทึก) พอค่ะ ในหมวดตำแหน่ง เราอิงโครงสร้าง ในหมวดบทบาทหน้าที่ เราอิง KPI ที่ต้องทำให้ได้ และในหมวดสมรรถนะ ต้องมีอารมณ์นิสัยและแรงจูงใจแบบไหนจึงจะทำให้งานดี๊ ดี ก็อิงเกณฑ์คุณสมบัตินางฟ้า เทวดาที่เราต้องการสำหรับงาน ตำแหน่งนี้ (จบไปแล้วนะคะ สำหรับกระดาษทำการการจัดแผนอาชีพ) 


ลงมือทำ Implementation 

ทำยังไง ลงมือค้นหาคนพันธุ์ A สร้างเสริมกิจกรรมและจับตา คนพันธุ์ A หรือ สรรหาคนพันธุ์ A สิคะ
หาคนพันธุ์ A เกรด A คือ คนที่จะไปสู่ตำแหน่งถัดไปตามข้อ 1 ใช่หรือไม่ ? ถ้าใช่ วัดเกรด จัดกลุ่มพนักงานกันเถิด...

จัดแล้วยังเอ่ย ?  อ๋อจัดแล้ว ตามที่ หน. เขาบอกว่า โอ้ย คนนี้แหละเยี่ยม (สำหรับผม แต่สำหรับองค์กร ไม่รู้ ฮาๆ) ทุกแผนกมีคนเยี่ยมๆ ตามจริตของ หน. แต่ค้านสายตาคนนอกตลอดเวลา ... เอ๊ะยังไง ? ทุกแผนกมีคนพันธุ์ A แต่งานไม่ไปไหน ผลักดันก็ไม่ได้ ?         


ทีนี้มายก ตย. กันสักเรื่องหนึ่ง เช่น มีวิศวกรก่อสร้างท่านนึงทำงานมาก็เจริญก้าวหน้าดีมาเป็นลำดับ วันนึงแก shift อาชีพไปทำปิโตเลียม เกี่ยวกับงาน Menagement ด้านนึง แกว่า อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แล้วถ้าองค์กร มีการพัฒนา career path มาให้แกตามลำดับมาจนถึงระดับ Build leadership ให้แกแล้ว ซึ่งการพัฒนาก็คงเริ่มมาจาก OJT เป็นประโยชน์ต่อองค์กร และตัวพนักงาน มาจนถึงการพัฒนาบุคลิกภาพ การฝึกให้มีสมรรถนะ (Competency) ด้านต่างๆเพิ่มอีก  เกิดเหตุแบบนี้ องค์กรรู้สึกยังไง คุ้มมั้ย คนทำงานมีแรงจูงใจอะไรซ่อนอยู่ไม่รู้ ? เสี่ยงมั้ย ?


นี่ ตย. นี้เรียนมาจาก Mr. ROBERT O'RIODANT ... แกตั้งคำถามเลิกคิ้ว มองบนเล็กน้อย ... 
u beleived that ? ค่ะ แล้วแกก็ยกตัวอย่างข้างต้น ฟังแล้วสะอึก และเริ่มมองหาบทพิสูจน์ 17 ปีย่างแล้วหละค่ะ ต้องยอมรับด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดว่า  ยังไม่เห็นใครสำเร็จทฤษฏีนี้จริงจัง แต่มีสำเร็จจริงๆ คือ talent acquisition ได้แก่ บ. ปูน  บ. ปตท. เห็นว่าทำได้ดี สำเร็จไปถึงการพัฒนาสายอาชีพจริงหรือปล่าวก็ไม่ชัดเจน คือไม่ได้อ่านหรือเห็นชัดตามข่าววงในเขา อาจเป็นเรื่องที่ไม่เปิดเผยต่อผู้อื่นให้เกิดการประเมินกองกำลังความสามารถก็เป็นได้ 

แต่ถ้าจะดู MBOที่สำเร็จดังตัวอย่างจาก google และ apple ค่ะ ไม่เห็นเขาเคยพูดถึง ไอ้แผนอาชีพ หรือ โครงสร้างตำแหน่งอะไรเลย มีตำแหน่งเขาก็ฟังแปลกๆ แต่เขาเชื่อเรื่องการเสริมสร้างสมรรถนะกับความสามารถ (Performance)  และ MBO คือ เก่งก็จ้างมาเลย ! แต่ได้ยินเขาเน้นวัฒนธรรมองค์กรเขา ชัดเจน กระหึ่มแปลกใจไปตามๆกัน ...

เลยเปลี่ยนมาเชื่อเริ่อง PMI - Performance mgt indicator, PMS - Performance system กับ Competency ที่นำมาใช้ตอนงาน Recruitment ดูจะปลอดภัยกว่ามาหาทีหลังตอนสวม ตน.งานแล้ว !


ปัญหาคือ องค์กรส่วนใหญ่ มักเรียกร้องอยากมีแผนความก้าวหน้าในอาชีพ แล้วมักมีคำถามว่า HR ทำไมไม่ทำ หรือ ทำไม่เป็น หรือไม่ได้ ... เพียงทำนั้นไม่ยาก แต่พอทำติดไปหมด เพราะแต่ละคน รวมถึง เจ้านายก็ไม่ยอมแก้ไข ไม่เปลี่ยน(ระบบ)อันก่อร่างสร้างตัวมาจากนิสัยท่าน และนางทั้งหลาย แต่อยากมีระบบ พอมีปัญหาการสูญเสียคน งาน หรือ สมรรถนะใดๆ สักอย่างโผล่มา เราจะได้ยินเสียงพำพัมว่า เนี่ย..เพราะเราไม่มี Career Path แต่จริงๆ คือ นางมีระบบวัฒนธรรมองค์กรที่เสียหายต่างหาก
มีน่ะดี แต่จะมีได้มันไม่ง่าย มันยาก กับวัฒธรรมภายใน... ต้องเปลียนตัวเองมากบ้าง น้อยบ้างว่ากันไป ส่วนมากพอต้องเปลี่ยน อ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายมีไว้เป็นคัมภีร์เท่านั้นใช้งานไม่ได้ มีไว้รักษาหน้า ..มีได้นะ ซื้อโปรแกรมมาเลยค่ะ ... มีขายจากที่ปรึกษาดีๆ เก่ง ๆ ปัญหาแท้จริงคือ ข้อ 5 ข้อเดียว นอกนั้นเป็นการวางระบบพัฒนา วางได้ให้สั้น ให้ยาว วางยากนักก็ MBO (management by objective หรือ buy out) เลยค่ะแล้วมาต่อ Path เอา. แต่...ไม่จบ

ท่านจะโดน พนง. ด่าเช้าด่าเย็นว่า ว่ามีแบบแผนยังงี้ แต่ทำไมเวลาปฏิบัติไปทำแบบโน้น ไหนหละว่ามีระบบ Career Path แล้วทำไมเป็นไอ้นั้นหละ คนนี้หละอบรมแทบตาย มีอะไรก็ให้ไปทำ ด่านหน้าของบททดสอบ ด่านอรหันต์ ตกด่านตายเสียงั้น หรือ แผนพัฒนาอาชีพก็มีนี่ ทำไมไม่ใช้ กลายเป็นมี กม. แต่ไม่ทำตาม กม. มีรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทำตาม... ทำนองเงี้ยแหละค่า 

สรุปสั้นๆ ว่า

  • ให้ทำแผนตำแหน่งงานในองค์กรบอกตำแหน่งให้ชัด
  • ให้ทำ JD หรือ Job Description ให้ดีครอบคลุมงานในหน้าที่จริงๆ ก่อน ที่เกินๆ เลยๆ เอาไว้เป็นติ่งก็พอค่ะ 
  • ให้ทำ KPI ให้สอดคล้องกับ work Target (ของอะไรก็แล้วแต่..)  Work KPI กับ work Target ไม่เหมือนกันนะคะ (แปะใว้ก่อน เดี๋ยวอธิบายให้ในหัวข้อต่อไป เปลาะง่ายๆ ตรงนี้จะทำให้เกิดการสร้าง Com & Ben ที่ดีตามมาด้วยนะคะ) 
  • ให้คัดกรอง สรรหาคุณสมบัติ (สมรรถนะ) ที่จำเป็นสำหรับงานให้ได้ (ของแต่ละตำแหน่ง)  และวางระดับเกรดสำหรับคุณสมบัติที่จะทำให้คนทำงานได้ดีกว่า (จัดหาคนพันธุ์ A)

พอมาถึงตรงนี้พอจะมองออกใช่มั้ยคะว่า ในแต่ละตำแหน่งตามลำดับลดหลั่นกันมา จะมีระดับเทพไม่เท่ากัน ตำแหน่งโตกว่า ก็ต้องมีความเป็นเทพมากกว่า ตำแหน่งต่ำว่าก็ลดหลั่นระดับเทพของเขาลงมา อย่าไปทำให้ความเป็นเทพของหัวหน้าและลูกน้องเท่ากันไปหมด หรือ ซ้ำๆ กัน เพราะมสรรถนะในการทำงานแต่ละระดับไม่เหมือนกัน เช่น หน. จะมาซ่อมหรือ จะมาแกะเครื่องยนต์ อะไรเก่งเท่าลูกน้อง คงไม่ใช่ แต่อาจจะวิเคราะห์เก่งกว่า เป็นต้น      
 
มาถึงคำถามที่ว่า แล้วควรมี Career Path ในองค์กรหรือเปล่า ... ขอตอบว่า เราควรมีผังองค์กรและตำแหน่งชัดเจน มีแผนการอบรมพัฒนาชัดเจน และมีการประเมินจัดกลุ่มสายพันธุ์ให้ชัดเจน (เป็นการปูทางประตูสู่สวรรค์ให้ทุกคนได้เห็นเชิงประจักษ์ด้วยตนเอง) และทุกอย่างทำผ่านการประเมินผล วิจัยหาผลคำตอบออกมา ดังนั้น จะมีคำตอบได้ต้องมีระบบการประเมินผลค่ะ ! แล้วการพัฒนาสายอาชีพก็จะเกิดตามมา ส่วนการประเมินผลจะทำได้ดี ยุติธรรมพอ ก็ต่อเมื่อ มีองค์ประกอบที่สรุปไว้ข้างต้นดีพอ หากไม่ดีพอการ จะส่งผลให้การประเมินผลต่างๆ เป็นการประเมินผลเป็นตามไบเบิ้ลอีก แต่ไปใช้งานอะไรไม่ได้ สร้างความร้าวฉานอีกตามเคย ...พึงระวัง


แค่นี้ เราก็รอดพ้นความสุ่มเสี่ยงเรื่องการลงทุนใน Career Path ให้กับพนักงานและองค์กรแล้วค่ะ อย่าลืมว่า "พนักงานต่ละคนก็มีแรงจูงใจไฝ่สัมฤทธิ์เป็นของตัวเองบางคนเก่งมาก แกไฝ่ฝันแค่ปากซอยผลักดันเท่าไรก็ไม่ไปไม่ยอมขึ้นรถ บางคนไฝฝันไปถึง ตปท. แต่ไม่เก่งก็กลายเป็นพวกเพ้อเจ้อ" แต่ถ้ามองว่า ไม่กลัวคู่แข่งจะได้พนักงานที่เราอุตส่าห์สร้างไปด้วยโครงสร้างค่าตอบแทนแต่ฉันจะสร้างบุคลากรของประเทศ ก็เอาค่ะ ดีที่สุดแล้วเป็นบุญมากมายเลยค่ะ ขออนุโมทนาด้วยอย่างจริงใจ 
ไหนๆ ก็เอ่ย เรื่องโครงสร้างค่าตอบแทนแล้ว จะบอกว่า หากทำข้างต้น ได้ดิบดีแล้ว เรื่องโครงสร้างค่าตอบแทนก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป พนักงานจะได้รู้ว่าบุญวาสนาพาตัวเราได้ระยะหนึ่ง แต่อาจไม่ได้นำพาเจ้านายไปถึงเทือกเขาเอลป์ แต่ต้องเป็นความพยายามที่ชัดเจนของพนักงานต่างหาก และวาสนาของพนักงานก็คือ มีสติปัญญาพอต่างหากคะ 

ง่ายที่สุดแล้วเนี่ย... 

Saturday, 4 June 2016

แรงผลักดันแห่งความสำเร็จ มีอะไรบ้าง !!

ที่มาภาพ : FB- Parkal HR Community 

ความสำเร็จที่เราเห็นเหนือน้ำนี้ ภายใต้ความสำเร็จนั้น เราต้องฝ่าฟัน ฝากฝัน ฝ่าฝืนและต่อสู้กับอะไรบ้าง?  รู้หรือไม่ มันมีมากมายเกินจะคาดคิด แต่ไม่ได้หมายถึงว่าทุกเรื่อง ต้องการองค์ประกอบแรงผลักดันทุกข้อ ไปหมดในเวลาเดียวกันนะคะ บางเรื่องต้องการแต่ 3 ข้อ บางเรื่องก็ 4 ข้อ แต่เราจำต้องมีทุกข้อจริงๆ เป็นแรงผลักดัน จะปลูกสร้าง ปลูกฝังบได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็ตามแต่ละบุคคลจะมีบรรยากาศมาเสริมแรงผลักดันในความสำเร็จแต่ละครั้งด้วยเหมือนกัน ที่เราจำต้องรับมือให้ได้ ...

เชื่อว่า ต่างช่วงต่างแวลากัน แรงผลักดันต่างๆ จะนำมาถูกใช้ในระดับที่ต่างๆ กันไปเช่นกัน ... ยากไปมั้ยคะ ถ้าไม่ยากส์ เตรียมรับความสำเร็จไว้อย่างสม่ำเสมอค่ะ

ขอเรียกว่า "แรงผลักดันแห่งความสำเร็จ" นะคะ

ระวังตรวจล๊อตเตอรี่กับ เวบสนุกดอทคอม !!

ซื้อล็อตเตอรี่มา หากท่านไปตรวจกับสนุกดอทคอม ให้ระวังนะคะ ไปอ่านเจอข้อความนี้ทางเฟสบุ๊คมา เสียดายของตัวเอง ตรวจแบบนี้กับสนุกมา 3-5 ปี แล้วหละค่ะ เสียใจจิ๊ดๆ




เพื่อนๆตรวจ ลอตเตอรี่กันดีๆนะ ตรวจใน sanook.com .. เขาบอกว่าคุณไม่ถูกรางวัล .. แต่มาตรวจในหนังสือพิมพ์ดันถูกรางวัลที่ 5 จ้ะ.. เกือบทิ้งไปแล้วนะเนี่ย.. ‪#‎มีงี้ด้วยปรกติตรวจเน็ตตลอด‬

Cr. Tawanrat Kanlaya 

สิ่งเพี้ยนๆ ที่ควรระวังกับงานศพ และ ธรรมเนียมการแต่งกายไปร่วมเคารพศพ

"อาตมาพูดมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว เห็นเด็กแต่งชุดดำไปงานศพผู้ใหญ่แล้วรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก สมัยโบราณคนที่อายุน้อยกว่าไปงานศพผู้ใหญ่กว่าต้องใส่ชุดขาวไป ถ้าหากว่าไปงานศพคนที่เด็กกว่า อายุน้อยกว่า หรือว่ายศต่ำกว่า ถึงใส่ชุดดำได้

อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว ตั้งแต่งานพระราชทานเพลิง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ งานถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี งานพระราชทานเพลิง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เห็นแล้วเบื่อสุดๆ ว่าแต่ละคนที่ไปนี่ใหญ่กว่าท่านทั้งนั้นเลย"

แรกๆ ก็งงที่ได้อ่านเนื้อหาที่มีคนพาดพิงถึงคำกล่าวแบบนี้ ...จนมีคนนำเอาภาพนี้มาโพสต์ๆ ในเฟสบุ๊ค จึงนึกได้ว่าเคยได้รู้เรื่องแบบนี้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง แต่ไม่เข้าใจว่า ยังไง อะไร ...ใครมีปัญหา ทำผิดอะไร ...

ส่วนตัว ดิฉันเดาว่า .. ยุคสมัยมันเลือนๆไปจากหลักที่ถูกต้องมาเป็นหลักนิยม ตามหลัก ศก. จนหลงๆ ลืมๆ

ดิฉันจำได้ว่า เราเข้าใจว่า มีงานศพเราต้องแต่งดำ หาชุดดำ เท่านั้น!! ไ่ม่ได้คิดถึงสีขาวเลย เมื่อไรที่นึกถึงสีขาว ดิฉันกลับนึกถึงงานบุญต่างๆ เช่น งานบวช งานถือศีล งานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า วันพระวันโกน ทั่วไป ... เช่นนี้

แต่ก็มีหลายครั้ง ที่เห็นคนแก่ มาร่วมงานศพคุณย่า คุณตา เขาจะใส่เสื้อสีขาวกันมา และผ้าถุงสีเข้มๆ แต่ไม่ใช่ดำ แต่เมื่อมางานศพน้องชายดิฉัน 3 คน หลานอีก 1 ครอบครัวดิฉันมีอายุสั้นๆ กันค่ะ พากันเสียไปตั้งแต่อายุน้อยๆ หมด จนแทบจำพิธีงานศพแม่นเลย คือ บ่อยมาก บัดนี้เหลือกันน้อยๆ ไม่กี่คน เราก็เลยปลงตก ไม่ได้อยากได้อะไรมากมาย เพราะเห็นความตายมากเกินเหตุ และเหลือกันน้อยคนมีกำลังสาขาน้อย ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจาก...สร้างบุญทำจิตใจผ่องใส

มาต่อที่การแต่งกายสำหรับงานศพกันค่ะ   มีการกล่าวถึงการแต่งกายในงานศพว่า "ธรรมเนียมการไว้ทุกข์หรือเข้าทุกข์ของคนไทยโบราณ นิยมแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน เป็นการไว้ทุกข์แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รวมถึงการไว้ทุกข์ถวายเจ้านายด้วย"

การไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวปลอดนี้ บางทีเรียกว่า "เข้าทุกข์ใหญ่" เป็นการไว้ทุกข์เต็มยศแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใส่แขนทุกข์หรือปลอกผ้าสีดำอีก ต่างจากการแต่งเครื่องแบบที่เป็นการแต่งกายตามปกติ แต่ยังไม่ได้ไว้ทุกข์ จึงต้องใส่แขนทุกข์ด้วย

ต่อให้งานศพทั่วๆ ไปก็เหมือนกัน คนตายที่อยู่บนเมรุนั่นอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ปี ปัจจุบันกลับมีเด็กเมื่อวานซืนใส่ชุดดำไป หากคนรู้ธรรมเนียมพอเห็นแล้วก็สยอง เขาไม่ค่อยใส่ใจกัน งานศพจึงมีเรื่องที่ควรระวัง 2 เรื่อง

เรื่องหนึ่ง ก็คือการไว้ทุกข์ ถ้าคนตายอาวุโสกว่าให้ใส่สีขาวไป แต่ถ้าอายุน้อยกว่า ก็ให้ใส่สีดำ

เรื่องสอง ก็คือ เราเป็นคนส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ไปแย่งพระจูงศพ..!

มีพระอาจารย์เล่ามาจาก เวบไซด์พลังจิต ว่า  ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาไปแย่งกันจับสายสิญจน์จูงศพ เรื่องของการจูงศพเป็นหน้าที่ของพระของเณร ถ้าจะเดินนำศพจริงๆ อนุญาตให้คนถือรูปผู้ตายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นทุกอย่างไปเดินตามอยู่ข้างหลัง เตือนทุกครั้ง เตือนจนตอนนี้เริ่มเข้าหูแล้ว ถึงเวลาจึงวิ่งไปอยู่ท้ายโลง เพราะถ้าขืนมาหน้าโลงอาจจะโดนด้ามตาลปัตรจากพระอาจารย์..! เคาะกบาลเข้าถึงจะนึกได้ (แต่พระในปัจจุบันท่านก็เพี้ยน นึกไม่ออกก็มี)

เขาก็บอกชัดๆ แล้วว่า ไปส่งศพ ไม่ได้ไปจูงศพ แล้วบางคนไม่รู้ไม่พอ ดุพระเณรด้วยนะ “ปล่อยสายสิญจน์ยาวๆ หน่อยสิ ไม่พอจูง” ปล่อยให้หมดม้วนก็ไม่พอหรอก เพราะบางงานคนมาเป็นพันเลย อย่างงานศพ ร้อยตำรวจตรีประเสริฐ บุญยงค์ โยมพ่อของท่านนายกเทศมนตรีประเทศ บุญยงค์ แขกเกิน ๒,๐๐๐ คนแน่นอน ถ้าขืนไปจูงศพแล้วจะเอาสายสิญจน์ที่ไหนมาให้จูง ๕๐๐ เมตรก็คงไม่พอ"

"บุคคลที่จะแต่งชุดสีดำ ต้องอาวุโสด้วยวัยวุฒิคืออายุมากกว่า หรืออาวุโสด้วยคุณวุฒิก็คือยศตำแหน่งสูงกว่า อย่างสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี วัยวุฒิและตำแหน่งของพระองค์ท่านสูงมาก บุคคลที่จะแต่งดำได้จริงๆ ปัจจุบันนี้จะมีอยู่แค่ ๔ พระองค์เท่านั้น ก็คือ ในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วก็สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพราะว่าพระอิสริยยศสูงกว่า

แต่คราวนี้ในหลวงทรงพระราชทานอิสริยศประดับฉัตร ๗ ชั้น พอได้สัปตปฎลเศวตฉัตรไป ก็เหลือแค่ ๒ พระองค์เท่านั้นที่จะแต่งดำได้ ก็คือในหลวงกับพระบรมราชินีนาถ ความจริงฉัตร ๗ ชั้น พระยศเท่ากับสมเด็จพระราชินีนาถเลยนะ แต่เนื่องจากว่าสมเด็จพระราชินีนาถดำรงตำแหน่งที่สูงกว่า จึงสามารถที่จะแต่งดำได้

เพราะฉะนั้น..ต่อไปถึงเวลาไปงานศพผู้ใหญ่ให้แต่งสีขาวไป สุภาพเรียบร้อยกว่าเยอะเลย แต่ว่าระยะหลังนี่มีค่านิยมอย่างหนึ่งที่เห็นแล้วหงุดหงิด อยากจะเรียกมาโบกเสียที..! ก็คือพวกที่ไปงานศพแล้วแต่งตัวเป็นแฟชั่น เคยเห็นไหม ? เขาตั้งใจแต่งตัวไปอวดกันจริงๆ นั่นเขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ

แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแฟชั่นโชว์ ไม่ดูว่าเป็นงานศพ ต่อให้เป็นชุดขาวชุดดำอะไรก็เถอะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ตาย จะไปไว้อาลัย ไปเพราะเห็นความดีของท่าน ไปเสริมเกียรติยศของท่าน แต่ดันไปทำตัวเพื่อลดเกียรติยศของท่านเสียนี่

พระอาจารย์เลยสรุปว่า ท่านคงแก่เกินไป ตกยุค เดี๋ยวนี้เขานิยมอย่างนั้น แต่เป็นการนิยมที่ผิดกาลเทศะ" ท่านคงหงุดหงิดมิเบา โยมนี่ได้เรียนรู้ และขอบพระคุณผู้นำเอาคำบ่นของท่านมาเขียนให้อ่านความคับอกคับใจของท่าน ... โยมผิดไปแล้ว และจะปรับปรุงไปใช้กับชีวิตประจำวันค่ะ


ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน/เผยแพร่ผ่านเวบไซด์พลังจิต: เรื่อง สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)  เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕

และนำมาเรียบเรียงใหม่ โดยดิฉันเองค่ะ สรุปความให้เข้าใจแบบเด็กสมัยใหม่อีกที  !!!!

Thursday, 10 March 2016

2 winner ทำให้คุณแม่ลำบากไปเลย .

สามีภรรยาเวียดนามพาลูกแฝดไปตรวจดีเอ็นเอ พบเป็นลูกคนละพ่อ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 59 นี้ สำนักข่าว'เอเอฟพี'ได้รายงานเรื่องราวเหนือความคาดหมาย เมื่อสามีภรรยาชาวเวียดนามได้พาลูกฝาแฝดไปตรวจดีเอ็นเอหลังจากฝ่ายชายสังเกตพบว่าหน้าตาของลูกทั้งสองไม่เหมือนกัน โดยมีคนหนึ่งหน้าไม่เหมือนคน เด็กคนหนึ่งมีผมตรงและรูปร่างผอม  และอีกคนมีผมหยิกหยักศกรูปร่างท้วม จึงเกรงว่าจะเกิดการสลับตัวกัน ที่ รพ. จึงได้คิดพาไปตรวจหา DNA

สิ่งที่น่าตกใจคือ ผลการตรวจที่ศูนย์วิจัยพันธุกรรมและเทคโนโลยีในฮานอยระบุว่า ดีเอ็นเอของเด็กทั้งสองคนตรงกับแม่ แต่มีคนเดียวเท่านั้นที่มีดีเอ็นเอตรงกับพ่อ !!!! เอาละสิ ???

แต่รายงานระบุว่า เด็กน้อยฝาแฝดเพศชายทั้งคู่เกิดในวันเดียวกัน โดยขณะนี้ทั้งคู่มีอายุได้ 2 ขวบแล้ว แต่หน้าตากลับแตกต่างกัน ฮ่ะแฮ่ม !!! สองขวบแล้ว โถ เจ้าหนูน้อย เติบโตท่ามกลางความคลางแคลงใจ แม่น่ะ ไงๆ ก็รักลูกทั้งสองคนหละ แต่พ่อนี่สิ จะคิดยังไง....เครียดแทนเจ้แกเลยค่ะ ...

เล่อ ดินห์ ลอง' ประธานสมาคมพันธุศาสตร์เวียดนามกล่าวว่า กรณีที่เด็กแฝดคู่นี้มีแม่คนเดียวกันแต่คนละพ่อจะเกิดขึ้นเมื่อไข่ 2 ใบจากแม่คนเดียวกันได้รับการปฏิสนธิกับอสุจิจากผู้ชาย 2 คน ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์คนละครั้ง ภายในระยะเวลาตกไข่เดียวกัน (นี่ไง ?) ยังจะย้ำอีก !!

"กรณีเช่นนี้ไม่ได้เกิดยากเฉพาะในเวียดนามเท่านั้น แต่เกิดขึ้นยากทั่วทั้งโลก" ประธานสมาคมพันธุศาสตร์เวียดนามกล่าว

แหมๆๆ มันก็เกิดขึ้นได้ยากตรงมันมีเพศสัมพันธ์คนละครั้ง...2 คน ...ในวันไข่ตกวันเดียวกันไง ไม่อยากคิดต่อ !!!!!

เรื่องมันแปลก หรือ พระเจ้าลงโทษกันแน่หว่า ...??????

ที่มา afp.  ที่มา : http://www.posttoday.com