ลูกสะไภ้อ่าม่า ก็รู้สึกหงิดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า นางทนไม่ได้ ที่จะเห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นางกินข้าวไม่ลง สามีไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีการทำให้อาม่ามือหายสั่นได้ ....
จากนั้นไม่กี่วัน ลูกสะไภ้ก็เอาเรื่องนี้มาพูดกับสามีอีกว่าจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว... หลังจากโต้เถียงเรื่องอาม่าของสามี ไปสักพัก สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา นั่นคือ เมือนถึงเวลาทานข้าว เขาก็จัดโต๊ะอาหารให้แม่นั่งแยกต่างหาก ตามลำพังคนเดียว ...โดยใช้ถ้วยชามราคาถูกๆ บิ่นๆ เพราะอาม่าชอบทำถ้วยชาม แตกบ่อย ...ทั้งๆ ที่ถ้วยชามบางใบ เป็นของที่อาม่า อุตส่าห์หาสะสมมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ของนางเอง ...
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร อาม่าจะเศร้าใจมากๆ แต่อาม่าไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขอะไรได้....
นางนึกถึงอดีต ที่นางเคย เลี้ยงดูลูกชาย ของนางด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยปริปากบ่นหรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยากที่นางต้องเผชิญ เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็จะดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาที่เขามีปัญหา นางก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะไภ้ในวันนี้ ก็คือผลจากการอดทน ตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลานานในวันก่อนๆ
นางนึกถึงอดีต ที่นางเคย เลี้ยงดูลูกชาย ของนางด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยปริปากบ่นหรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยากที่นางต้องเผชิญ เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็จะดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาที่เขามีปัญหา นางก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะไภ้ในวันนี้ ก็คือผลจากการอดทน ตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลานานในวันก่อนๆ
เพื่อให้ลูกชาย หรือสามีของลูกสะไภ้ในวันนี้ได้ร่ำได้เรียน มีความรู้ มีอาชีพการงาน ที่ทำให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย แต่ตอนนี้อาม่าเสียใจมาก อาม่ารู้สึกว่า ตัวเองไร้ค่าและถูกทอดทิ้ง....
หลายวันผ่านไป อาม่ายังคงเศร้าสร้อย รอยยิ้มเริ่มจางหายไปจากใบหน้า หลานชายตัวน้อยๆ ของอาม่า ซึ่งเข้าจับตาดูทุกอย่างมาโดยตลอด ก็เข้าไปปลอบใจคุณย่าว่า เขารู้ว่า คุณย่าเสียใจมากแค่ไหน ที่ถูกพ่อแม่ของเขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ และเขาก็บอกท่านว่า เขามีวิธีที่จะให้อาม่าได้กลับไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้ เหมือนเดิม..ขอให้อาม่าเลิกเศร้าสร้อยได้แล้ว...
ความหวังของหญิงชราเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจ ของหญิงชราอีกครั้ง นางถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร?.... เด็กน้อยตอบได้แต่เพียงว่า "เย็นนี้ขอให้คุณย่าแกล้งทำ "ชามข้าว" ของคุณย่าตกให้มันแตก ... คุณย่าทำเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจนะครับ"
อาม่าได้ฟังก็แสนลำบากใจ และแปลกใจเพราะรู้สึก "เกรงกลัว" ลูกชายและลูกสะไภ้ จะหงุดหงิดใส่อีก แต่หลานชายยังคงยืนกราน ให้คุณย่าทำตามที่บอก ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลานชายจะจัดการเอง ...
และแล้ว...เมื่อได้แวลาอาหารเย็น หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานชายพูด เพื่อจะดูว่าหลานชายมีแผนการอะไร นางจึงยกถ้วยข้าวใบเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น แล้วแกล้งปล่อยให้ชามบิ่น มันตกลงบนพื้น เหมือนกับทำหลุดมือ ถ้วยใบเก่าใบนั้น หล่นแตกกระจายเต็มพื้นไม่มีชิ้นดี!!!
ลูกสะไภ้เห็นดังนั้น ก็ลุกขึ้น เตรียมจะด่าว่า อาม่าทันที แต่แล้ว ลูกชายตัวน้อยของเธอ กลับรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า ...
" ว้า...คุณย่าทำไมทำ ชามข้าว แตกซะเละเทะหมดหละครับ นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่า จะเก็บชามข้าวใบนี้ไว้ให้คุณแม่ผมใช้ต่อ แล้วเนี่ย ผมจะเอาชามที่ไหนมาให้คุณแม่ผมใช้ตอนแก่เท่าคุณย่าหละครับ??"
ง้้นคุณแม่กับคุณพ่อ คงต้องแย่ง ชาม กันตอนแก่เท่าคุณย่า อีกใบอย่าทำแตกอีกนะครับ บิ่นมากแล้ว ผมจะเก็บไว้ให้คุณพ่อ...พ่อควรดูแลชามบิ่นบ้าง"
ลูกสะไภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ ก็ถึงกับนิ่งอึ้งงงงง...หน้าซีด ถึงกับด่าไม่ออก นางรู้สึกได้ทันทีว่า ทุกสิ่งที่นางทำลงไปในวันนี้ ย่อมเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของนางนำไปปฏิบัติต่อนางในวันข้างหน้า เมื่อนางแก่ตัวลงเช่นกัน .....
นางรู้สึกอับอายและสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา...ทุกคนในบ้านก็นั่งทานอาหารร่วมกัน ตลอดมา.....
-จบ-
No comments:
Post a Comment