Thursday, 12 December 2013

อั้ม เนโกะ งานเข้า นักศึกษาธรรมศาสตร์ ยื่น สามพันรายชื่อ ไล่ พ้นสถาบัน



ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน มธ. รวบรวม 3 พันชื่อ ไล่ อั้ม เนโกะ ให้พ้นจากสถาบัน หรือให้มีการลงโทษ จากกรณีมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งห้อยโหนรูปปั้นอาจารย์ปรีดี ไปจนถึงการด่าว่าคณาจารย์


 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 มีรายงานว่า ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดย นายองค์อร ภูอากาศ นักศึกษาปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และอดีตนักศึกษาปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ได้นำรายชื่อของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันกว่า 3,050 คน ยื่นต่อ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อให้ดำเนินการทางวินัยต่อนายศรันย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ เนื่องจากอั้ม เนโกะ มีพฤติกรรมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต

          ทั้งนี้ นายองค์อร กล่าวว่า การที่มีศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันออกมาทำเช่นนี้ เพราะอยากให้สังคมรู้ว่า ประชาคมธรรมศาสตร์ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมหลายอย่างของอั้ม เนโกะ ทั้งการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม การใช้วาจาไม่สุภาพต่อคณาจารย์ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งล่าสุด อั้ม เนโกะ ได้พยายามชักธงสีดำขึ้นยอดโดม เพื่อประท้วงอธิการบดีที่มีทัศนคติเอนเอียงทางการเมือง โดยทางกลุ่มได้มีการพูดคุยกันทางโซเชียลมีเดีย และมองว่าอั้ม เนโกะ ทำเกินไป อันเป็นการสร้างความเสียหายต่อสถาบัน แม้ว่าอยากแสดงออกทางการเมือง ก็ควรอยู่ในกรอบและกติกาของสังคม ไม่ควรเอาชื่อสถาบันไปอ้างเพื่อความชอบธรรมของตัวเอง ฉะนั้น จึงต้องการให้มีการพิจารณาลงโทษ อั้ม เนโกะ ตามความผิดและระเบียบของมหาวิทยาลัย โดยอาจมีการคัดชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา พักการเรียน และลงโทษตามดุลยพินิจ




          ด้าน ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนเองรับทราบพฤติกรรมของอั้ม เนโกะ มาโดยตลอด ตั้งแต่การห้อยโหนรูปปั้นของ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งก็ได้มีการเรียกมาว่ากล่าวตักเตือน จากนั้นก็เรื่องของการแต่งกายไม่เหมาะสม และใช้วาจาไม่สุภาพกับคณาจารย์ มธ. ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเองได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและเสนอบทลงโทษให้พักการเรียน 1 ปี แต่ผู้ปกครองได้เข้ามาขอให้ลดโทษเหลือ 1 ภาคเรียน อันอยู่ระหว่างการพิจารณาของนายปริญญา คาดว่าจะพิจารณาโทษได้ใน 1 - 2 สัปดาห์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ลงโทษไปตามระเบียบมหาวิทยาลัย หากโทษไม่ถึงขั้นคัดชื่อออก ก็ไม่สามารถทำได้





Friday, 11 October 2013

มดจากดาวอังคาร (Ant from Mars)

เป็นมดที่ค้นพบใหม่ล่าสุดจากลุ่มน้ำ
อเมซอนในปี 2003 

ซึ่งเป็นการค้นพบสายพันธุ์มดครั้งล่าสุดนับไปจาก
ตั้งแต่ปี 1967 เป็นต้นมา

ซึ่งครั้งนั้นเป็นการคนพบจากซากฟอสซิล






โดยที่ใช้ชื่อ Ant from Mars เพราะว่าเป็นมดหน้าตาประหลาดที่ไม่เคยถูกพบเห็นที่ไหนมาก่อนเหมือนนักล่าจากดาวอังคารในหลังนั่นละครับ เจ้ามดที่ว่านี้เป็นมดนักล่าอาศัยอยู่ใต้ดินมีลำตัวค่อนข้างยาวตาบอดสนิทมีปากยาวๆไว้คอยจับเหยื่อครับ



ผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศ แข็งแรงที่สุดในโลก ( world’s strongest vagin )

Tatiata Kozhevnikova คือ หญิงสาวชาวรัสเซียที่ได้รับการบันทึกจาก กินเน็สบุ๊ค ว่าเป็น ผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศแข็งแรงที่สุดในโลก เนื่องจากเธอสามารถ ใช้ตรงนั้นยกสิ่งของที่หนักได้ถึง 14 กิโลกรัม








อย่างแรกก็ต้องมี "ลูกบอลทรงรักบี้" 
มีเชือก และคลิปสำหรับหนีบลูกเหล็ก

Tatiata กล่าวว่า หลังจากคลอดเธอมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อบริเวณ ช่องคลอดอ่อนแอมาก ( คาดว่าทำให้มีทำใ้ห้มีปัญหาเรื่องการอั้นปัสสาวะ ) ทำให้เธอคิดว่าคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว และเธอก็เริ่มออกกำลังกายอวัยวะตรงนั้น โดยใช้ Murano ball แต่มันมีปัญหาคือมันยากที่จะนำออกจากช่องคลอด แต่เธอก็ไม่ถอย แต่มาเธอจึงประดิษฐบอลที่เหมาะสมกับช่องคลอด ขึ้นมาเอง และฝีกฝนจนสำเร็จยุทธ์ในที่สุด




อุปกรณ์พร้อม ก็ต้องเปลี่ยนชุดสำหรับโชว์ ให้สวยเสียก่อน และกันอุจาดตา
นำคลิปไปเกี่ยวกับลูกเหล็กที่จะแสดงโชว์
สร็จก็ค่อย ยัดลูกบอลทรงรับบี้เข้า .........


เมื่อเสร็จ จะลุก จะโฟสท์ท่าอย่างไรก็ไม่หลุด


จะโก้งโค้งเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาก็ไม่หลุด (เจ๊แกแข็งแรงจริงๆ)


.....................................................................................................
ที่มา:
http://wowboom.blogspot.com
http://www.odditycentral.com/news/the-worlds-strongest-vagina.html

สัตว์ประหลาดจากต่างดาว !

สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีคุณสมบัติหลักๆ คือ อึด ทน ถึก !!

ลองดูกันนะครับเพื่อนๆ ว่าเคยเห็นเจ้าพวกนี้หรือเปล่า ผมไปอ่านเจอเห็นว่าเป็นเรื่องดีๆ แปลกๆ เลยเอามาแบ่งกันนะครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า...

หมีน้ำ (Water bears)


เจ้าหมีน้ำนี้ดูจะเป็นสัตว์ประหลาดจากต่างดาวจริงๆ นะครับเพราะมันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในอวกาศมากกว่า 10 วัน ได้โดยไม่ต้องมีชุดอวกาศเลย ซึ่งยังเป็นความลับที่นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นหากันต่อไปครับ เจ้าหมีน้ำนี้จริง ๆเป็นสัตว์ตัวเล็กจิ๋วมากโดยมีขนาดแค่ 0.1 - 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้นครับ อาศัยอยู่กับมอสและไลเคน และสามารถมีชีวิตอยู่ภายใต้อากาศที่แห้งแล้งได้

หมีน้ำ สัตว์ทรหดเข้าขั้น กึ่งอมตะ

Tardigrades หรือที่รู้จักกันในชื่อ หมีน้ำ( Water Bear ) เป็นสัตว์ขนาดเล็กเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 1.5 มิิลลิเมตร มีแปดขา ที่สามารถพบได้ทั่วไปทั่วโลก และสามารถดำรงณ์ชีวิตได้เกือบทุกสถาวะ จนเข้าขั้นกึ่งอมตะ


ข้อมูลทั่วไป

  • หมีน้ำถูกค้นพบครั้งแรกโดย Johann August Ephraim Goeze ในปี 1773
  • คำว่า Tardigrades มีความหมายว่า เจ้าตัวเดินช้า( Slow Walker )
  • ส่วนชื่อ หมีน้ำ ( Water Bear ) นั้นมาจากท่าทางการเดินของพวกมัน
  • เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเพียง 1.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวที่เล็กที่สุดมีขนาดเพียง 0.1 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงตัวอ่อนมีขนาดเพียง 0.05 มิลลิเมตร
  • หมีน้ำมีมากกว่า 1000 สายพันธุ์ โดยมากเป็นพวกกินพืช ส่วนน้อยกินแบคทีเรีย และกินสัตว์
  • หมีน้ำสามารถพบได้ทั่วโลก ตั้งแต่ที่ยอดเขาหิมาลัย(Himalayas) ที่ความสูงกว่า 6,000 เมตร จนถึงในทะเลลึกถึง 4,000 เมตร ไม่ว่าจะเป็นที่ขั้วโลก หรือในบริเวณเส้นศูนย์สูตร
  • หมีน้ำชอบอาสัยอยู่ที่ต้นมอส และพวกเห็ด รา ต่างๆ แต่ยังสามารถพบได้ตาม ทราย ชายหาด ดิน แร่ธาตุ และในตะกอนน้ำ
  • ร่างกาย เป็นท่อน 4 ท่อน(ไม่รวมส่วนหัว) ในแต่ละท่อนมี 2 ขา ในแต่ละขามีเล็บ

ทำไมหมีน้ำถึงได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ ทรหดที่สุดในโลก ?

  • หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -272.8°C (ได้ประมาณ 1 นาที ) และที่ -200°C ( อยู่ได้ประมาร 1 วัน )
  • หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 151 °C
  • สามารถทนรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 1,000 เท่า
  • เมื่อปราศจากน้ำพวกมันจะอยู่ในสภาพจำศีลได้กว่า 100 ปี และเมื่อได้รับน้ำพวกมันสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นได้อีกครั้ง
  • สามารถอยู่ได้ในสภาพนอกโลก( ในปี 2007 หมีน้ำถูกน้ำนำไปทดสอบในโครงการ FOTON-M3 โดยน้ำไปโคจรในอวกาศถึง 10 วัน เมื่อนำพวกมันกลับมายังโลกพบว่าพวกมันส่วนใหญ่สามารถรอดชีวิต ทั้งยังมีบางตัววางไข่ ออกลูกได้ ต่างหาก )


ภาพนี้เมื่อพวกมันถูกแช่แข็ง พวกมันก็จะอยู่ในสภาพเหมือนจำศีล เมื่อละลายพวกมันพวกมันก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง




ที่มา :
http://www.gconnex.com/knowledge
http://en.wikipedia.org/wiki/Tardigrade


Thursday, 10 October 2013

10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ

ความสำเร็จทุกวันนี้อาจทำให้เราภาคภูมิใจ ที่การก้าวสู่อวกาศไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป และมีแต่จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนภารกิจที่คาดว่าจะไม่มีวันเป็นจริง กลายเป็นเรื่องใกล้แค่เอื้อม อย่างไรก็ตาม บางทีคุณอาจลืมไปว่าความสำเร็จที่ได้มานั้น ต้องแลกกับการเสียสละของเพื่อนร่วมโลกมากมาย ซึ่งถึงแม้มันจะไม่ใช่มนุษย์เหมือนเราแต่ก็มีชีวิตเหมือน ๆ กัน และบางตัวก็ต้องจบชีวิตไปเพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์อีกด้วย ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม 10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ จากเว็บไซต์ io9 มาฝาก ให้เราได้ระลึกถึงความเสียสละของมันกันค่ะ

 10 สัตว์ผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อการศึกษาเรื่องอวกาศ (ภาพจาก Weekly Science Quiz)
1. หมีน้ำ (อึด ทน ถึก)

          หมีน้ำ (Water Bears) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกว่า 1.5 มิลลิเมตร ถูกส่งขึ้นไปพร้อมกระสวยอวกาศ ESA's FOTON-M3 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2007 เพื่อศึกษาความหนาแน่นของรังสีและภาวะสุญญากาศบนอวกาศ โดยถูกส่งออกไปนานถึง 10 วัน ก่อนจะกลับมายังโลกและได้สัมผัสน้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้ 68% ของเหล่าหมีน้ำกลับมามีชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง มันเลยถูกยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่สามารถมีชีวิดรอดได้ท่ามกลางภาวะสุญญากาศ


2. ลิงชิมแปนซี (ภาพจาก Wikipedia)
          ถือเป็นสัตว์ที่ถูกส่งขึ้นอวกาศมากมายหลายครั้ง แต่ลิงชิมแแปนซีตัวแรกสุดที่ถูกส่งขึ้นอวกาศมีชื่อว่า แฮม ซึ่งมันถูกส่งขึ้นไปกับแคปซูล American Mercury ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1961 เพื่อทดสอบความปลอดภัย ก่อนจะส่งมนุษย์ขึ้นไปจริง ๆ ในภายหลัง และเจ้าแฮมก็สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยเสียด้วย










3. ตัวนิวท์

          เนื่องจากตัวนิวท์ (Newts) เป็นสัตว์ประเภทจิ้งจกที่ทำได้แม้กระทั่งงอกแขนขาออกมาใหม่ด้วยตัวเอง ทำให้มันเหมาะเจาะที่สุดสำหรับภารกิจ USSR's Bion 7 เมื่อปี 1985 ที่มีจุดประสงค์จะวัดความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของสิ่งมีชีวิตเมื่อต้องไปอยู่บนอวกาศ ตัวนิวท์ สายพันธุ์ Pleurodeles Waltl จำนวน 10 ตัว จึงถูกส่งออกนอกโลกไป และนั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่ออยู่บนอวกาศ พวกมันสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ


4. กระต่าย

          กระต่ายตัวแรกซึ่งมีชื่อว่า มาร์ฟูชา ถูกส่งไปอวกาศด้วยจรวด R2-A rocket ในภารกิจของสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมปี 1959 อย่างไรก็ตามเจ้ามาร์ฟูชาไม่ได้ออกสู่อวกาศเพียงลำพัง แต่ยังมีสุนัขอีก 2 ตัว คือ Otvazhnaya และ Snezhinka เดินทางขึ้นไปพร้อมกับมันด้วย และเมื่อกลับมายังโลก ทั้งสามก็ได้รับการพักฟื้นร่างกาย และปลอดภัยทั้งหมด


5. เต่า ( ภาพจาก 46blyz.com โดย RKK Energía)
          เต่าคู่แรกที่ถูกส่งขึ้นไปในห้วงอวกาศ เป็นเต่าจากประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตส่งขึ้นไปในปี 1968 อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ถูกส่งขึ้นอวกาศในแบบทั่วไปเหมือนสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่ผ่านมา แต่กระสวยอวกาศ Zond 5 ที่เจ้าเต่าน้อยอาศัยขึ้นไปในอวกาศ ได้มีการโคจรรอบดวงจันทร์ก่อนจะกลับมาสู่โลก และเจ้าเต่าก็มีชีวิตยืนยาวต่อไป







6. กบ (ภาพจาก wikipedia)
          ในปี 1970 องค์การนาซาได้ส่งกบขึ้นสู่อวกาศ ผ่านกระสวยอวกาศ Otolith เพื่อใช้เป็นข้อมูลศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมอง เมื่อต้องอยู่ในภาวะปราศจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งจากสิ่งที่เกิดกับกบ ทำให้พบว่าระบบการทรงตัวของร่างกายจะทำงานผิดปกติชั่วขณะเมื่อเข้าสู่ห้วงอวกาศ แต่ก็จะสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมอีกครั้ง







7. แมงมุม (ภาพจาก Dragon Mare)

          เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมปี 1973 สหรัฐอเมริกาได้ส่งแมงมุมคู่แรก อาราเบลลา และ อนิต้า ไปกับจรวด Saturn IB ร่วมกับภารกิจ Skylab ครั้งที่สอง ที่มีมนุษย์อยู่ด้วย ซึ่งหน้าที่ของมันเป็นสิ่งที่มีแต่แมงมุมเท่านั้นที่ทำได้จริง ๆ นั่นก็คือตรวจสอบว่าการชักใยของมันเปลี่ยนไปหรือไม่เมื่ออยู่บนอวกาศนั่นเอง ทำให้เราได้เห็นใยแมงมุมถูกทอบนอวกาศเป็นครั้งแรกด้วย






8. แมว (ภาพจาก Pillown Astromnaut)
          ย้อนกลับไปในปี 1963 ประเทศฝรั่งเศสเคยตั้งใจจะส่งเฟลิกซ์ แมวข้างถนนขึ้นไปในอวกาศ แต่มันก็ดันหนีไปเสียก่อน ทำให้เฟลิเซตต์ แมวตัวเมียข้างถนนตัวใหม่ได้เข้ามาทำภารกิจนี้แทน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมปี 1963 ซึ่งแมวน้อยตัวนี้ถูกฝังขั้วไฟฟ้าไว้ที่สมองเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของมันด้วย หน้าที่ของแมวตัวนี้คือขึ้นไปบนอวกาศและกลับลงมาผ่านร่มชูชีพ โดยมันกลับลงมาในเวลาไม่ถึง 15 นาที แถมยังมีชีวิตรอดกลับมาอีกด้วย

9. สุนัข (ภาพจาก Dingus)

          เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1957 โซเวียตได้ตัดสินใจส่ง Sputnik 2 ไปเป็นกระสวยอวกาศชิ้นแรกที่โคจรรอบโลก โดยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ข้างในด้วย ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นก็คือสุนัขจรจัดเพศเมียชื่อ ไลก้า นั่นเอง และสุดท้ายบทสรุปจุดจบชีวิตของไลก้า ถูกเปิดเผยว่า มันตายตั้งแต่อยู่ในกระสวยได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้ว เพราะความตื่นกลัวจนช็อก ซึ่งเป็นถือเรื่องน่าเศร้า




10. แมลงวันผลไม้ (ภาพจาก Space)

          แมลงวันผลไม้ (Fruit flies) กลุ่มหนึ่งได้ถูกส่งขึ้นอวกาศไปพร้อม ๆ กับจรวด American V2 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ปี 1947 ที่ระยะทาง 68 ไมล์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลศึกษาผลกระทบจากพลังคลื่นรังสีต่อสิ่งมีชีวิต ก่อนจะย้อนกลับมาที่โลก ซึ่งแมลงวันผลไม้ทั้งหมดกลับมาได้อย่างปลอดภัย



     
 ทั้งนี้ นอกจากสัตว์ทั้ง 10 ที่เรารวบรวมมาฝาก ยังมีสัตว์อีกมากมายที่ผ่านการส่งขึ้นอวกาศไปเช่นกัน และก็มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หรือถึงขั้นล้มตายก็ด้วย ดังนั้นกว่ามนุษย์จะพัฒนามาถึงทุกวันนี้ได้ ก็คงต้องขอบคุณการเสียสละของเจ้าสัตว์เหล่านี้ด้วยเหมือนกัน



เครดิต  กระปุ๊กดอทคอม

Monday, 7 October 2013

ผลสำรวจเกี่ยวกับ "ลักษณะโบนัส"ที่จ่ายกันในประเทศไทย ประจำปี 2013

จากผลการสำรวจ "ลักษณะโบนัส" เพื่อแรงจูงใจการทำงาน ในปี 2013
มีรายงานผลการสำรวจดังนี้  (จากผลการสำรวจค่าจ้างของ PMAT)

1. มีจำนวนองค์กรถึง 70% กำหนดนโยบายการให้โบนัสแบบ "ผันแปรตามผลงานส่วนบุคคล" คือ

  • โบนัสที่จะให้นั้นไม่ให้พนักงานทุกคนเท่ากัน 
  • จะใช้ผลงานของพนักงานที่ทำได้ในปีนั้นๆ มาเป็นเครื่องมือในการให้โบนัส
  • พนักงานแต่ละคนได้โบนัสไม่เท่ากัน
  • บริษัทฯ คิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานของพนักงานได้ดีที่สุด
  • ข้อจำกัดก็คือ องค์กรจะต้องมีระบบการประเมินผลงานที่ดีมาก และสามารถที่จะบอกถึงผลงานของพนักงานแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
  • วิธีการนี้มีการใช้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีแค่ 58% ปีนี้ปรับเป็น 70 %
  • วิธีนี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นทุกปีๆ ในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมา


2. มีจำนวนองค์กร 20% ให้โบนัสพนักงานเท่ากันทุกคน

  • บริษัทที่ยังคงให้โบนัสพนักงานเท่ากันทุกคนนั้น ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เน้นการทำงานเป็นทีมมากกว่าเน้นการที่ให้พนักงานแต่ละคนแข่งขันกันสร้างผลงานกันเอง โดยไม่พิจารณาถึงผลงานที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละคน 
  • พิจารณาจากยอดโบนัสที่จะให้เท่านั้น


3. มีจำนวนองค์กร อีก 10% ให้โบนัสผสมผสานกันทั้งสองวิธี

  • กำหนดการจ่ายโบนัสออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ส่วนหนึ่งให้เท่ากันทุกคน 
  • อีกส่วนหนึ่ง ให้ต่างกันตามผลงานของพนักงานแต่ละคน เพื่อที่จะรักษาการทำงานเป็นทีมไว้ส่วนหนึ่ง 
  • ส่งเสริมการสร้างผลงานที่ดีของพนักงานด้วย ใครที่ทุ่มเททำงาน และสามารถสร้างผลงานที่ดีกว่าอีกคนหนึ่ง ก็น่าจะได้โบนัสที่มากกว่าคนที่ทำผลงานได้น้อยกว่า


อัตราโบนัสที่บริษัทต่างๆ ให้กันในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง??

1)โบนัสคงที่ บริษัทที่มีการจ่ายโบนัสแบบคงที่ คือ ให้พนักงานทุกคนเท่ากันหมด อัตราเฉลี่ยที่องค์กรส่วนใหญ่ให้กันก็คือ 1.5 เดือน

2) โบนัสผันแปรตามผลงาน บริษัทที่จ่ายโบนัสพนักงานไม่เท่ากัน หรือแตกต่างกันกันตามผลงานพนักงานแต่ละคนนั้น ให้โบนัสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 เดือน

3) บริษัทที่ให้โบนัสผสมทั้งสองแบบ ให้โบนัสเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8 เดือน

ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลเฉลี่ยของทุกกลุ่มอุตสาหกรรมรวมกัน แต่ถ้ามีการแยกอุตสาหกรรม การจ่ายโบนัสจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากทีเดียวครับ ในปีที่ผ่านมานั้น ธุรกิจที่จ่ายโบนัสสูงสุด (จากผลการสำรวจค่าจ้างของ PMAT) 5 อันดับแรกมีดังนี้


  • กลุ่มธุรกิจยานยนต์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 9 เดือน
  • กลุ่มปิโตรเคมี จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 8 เดือน
  • กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิคส์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5.25 เดือน
  • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5 เดือน
  • กลุ่มธุรกิจอาหาร จ่ายโบนัสเฉลี่ยที่ 5 เดือน


อจ.ประคัลภ์ ผู้เชี่ยวชาญงาน HR ให้ความเห็นว่า #

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากผลการสำรวจค่าจ้างฯ มาทุกปีเป็นเวลามากกว่า 15 ปี ก็คือ แนวโน้มเรื่องของการขึ้นเงินเดือนตามผลงานนั้นมีแนวโน้มที่ลดลงไปเรื่อยๆ จาก 15 ปีก่อนที่อยู่ในอัตราประมาณ 10-15% แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่แค่ประมาณ 5-6% เท่านั้น และกำลังจะมีแนวโน้มที่ลดลงไปเรื่อยๆอีก 

สาเหตุก็เพราะถ้าองค์กรขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในอัตราที่สูงมากๆ จะเป็นการเพิ่มภาระในการบริหารค่าตอบแทนขององค์กรมากขึ้นทุกปี เนื่องจากประเทศไทยเงินเดือนลดไม่ได้ มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่องค์กรยังต้องการที่จะสร้างแรงจูงใจให้พนักงานให้มีพลังในการที่จะสร้างผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และเครื่องมือที่จะสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม และไม่ทำให้ต้นทุนค่าจ้างสูงขึ้นในระยะยาว ก็คือ “โบนัส” ตามผลงานนั่นเอง....

Sunday, 6 October 2013

เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ???




เจ้ากรรมนายเวร โดย 
อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ 

เนื้อหาต่อไปนี้ เป็นบทสนทนาระหว่างอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับผู้ที่สนใจ..... เรื่อง "เจ้ากรรมนายเวร" ซึ่งก็ยังมีผู้สงสัยและสนใจในเรื่องนี้อยู่มาก 

ถ้าหากสามารถจะทำให้ทุกท่านที่สนใจได้มีความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะการสะสมความเห็นที่ถูกนั้น ย่อมสามารถเป็นปัจจัยให้เราสามารถเจริญกุศลได้ยิ่งๆ ขึ้นไป ....สาธุ

: ถาม
มีผู้กล่าวว่า การทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ไม่ทราบว่า คำว่า เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงอะไร การทำสมาธิแล้วจะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยได้หรือไม่ อย่างไร 

: อ.สุจินต์
รู้สึกว่าใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวรกันมาก และกลัวเหลือเกินว่า ถ้าไม่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรจะไม่พ้นจากเคราะห์กรรมต่างๆ มีท่านผู้ใดเคยทำและเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? 

ความจริงนั้นเมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่สามารถรู้และอนุโมทนาได้ แต่คำว่าเจ้ากรรมนายเวรดูจะเป็นคำคล้องจองของคำว่า กรรมเวร และ เจ้านาย ที่ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรนั้น 

ตามความเป็นจริงแล้ว ใครทำให้ท่านปฏิสนธิในชาตินี้ อะไรทำให้แต่ละบุคคลเกิดในภพนี้ในภูมินี้ เจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้ทำหรือ หรือว่าเป็นกรรมของแต่ละท่านที่ได้กระทำแล้ว กรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในภูมินี้ 

เพราะฉะนั้นไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเจ้ากรรมของใคร เพราะว่าแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน แม้แต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกที่เกิดในภูมินี้ ก็เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในอดีตของท่านเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมทำให้ท่านปฏิสนธิ

ข้อความในอังคุตตนิกาย ทสกนิบาต ธัมมปริยายสูตร ข้อ 193 พระผู้มีพระภาคฯตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว 

ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับคำพระผู้มีพระภาคฯแล้ว พระผู้มีพระภาคฯ ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้องและมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 


เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร หรือว่าท่านผู้ใดเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรว่าอย่างไร มีใครเคยอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง?

:กังขา ...... ผมเพียงแต่ยกมือว่าเคยกระทำเช่นนั้น แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องเจ้ากรรมนายเวร 

: อ.สุจินต์.... ขณะที่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่รู้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ใช่ไหม 

:กังขา..... เป็นคติความเชื่อที่เชื่อว่า เรากระทำอะไรให้ใครเขาไม่พอใจเดือดร้อน อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ขอให้ต่างฝ่ายต่างมีอโหสิกรรมต่อกัน อันนั้นเป็นความเชื่อว่าถ้าเราแผ่ส่วนกุศลไป แผ่เมตตาไป เชื่อว่าย่อมเป็นการกระทำที่ดี และอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราสบายใจ เพราะเชื่ออย่างนี้จึงทำอย่างนี้ และเชื่อต่อไปโดยไม่ได้ศึกษาว่า พระผู้มีพระภาคฯ อาจจะตรัสไว้ที่ไหน คิดว่าเป็นคติทางพุทธศาสนา 

:อ.สุจินต์..... แต่ไม่เคยเห็นเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม 

:กังขา..... ที่เป็นตัวเป็นตนก็มี พ่อแม่ของผม ผมก็ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร ท่านมีบุญคุณกับผม ผมก็อุทิศให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อุทิศให้ทุกครั้งไป 

:อ.สุจินต์..... ถ้าอย่างนั้น ในความหมายนี้คงหมายถึงผู้ที่มีกรรมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ชื่อว่า เจ้ากรรมนายเวร 


:กังขา ..... ไม่ทราบว่าความจริงจะเป็นอย่างไรสำหรับคนอื่น สำหรับกระผม กระผมถือว่าใครก็แล้วแต่กระทำกรรมต่อกัน เราก็อยากอุทิศให้ 

:อ.สุจินต์..... นั่นเป็นเรื่องอุทิศส่วนกุศล เป็นเรื่องของการเจริญเมตตา แต่นี่เป็นเรื่องการเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวร คือไม่ทราบว่าแต่ละท่านมีความคิดความเข้าใจเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร เพราะรู้สึกว่าจะเป็นธรรมเนียมในการที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร 

:กังขา..... กระผมก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ศึกษา มีความเชื่อว่า ถ้าเรากระทำความไม่ดีอะไรกับใครไว้ ก่อความไม่พออกพอใจแก่ใครไว้ ก็คิดว่ากรรมนั้นอาจเกิดสนองแก่เราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คิดว่า ถ้าเราอโหสิกรรมต่อกันเสียก็คงจะดี อันนี้เป็นความเชื่อ นอกจากนั้นคอยไปพบใครไม่ทราบบอกว่า เวลาเจ็บป่วย พระภิกษุท่านบอกว่ามีสาเหตุหลายอย่าง จำได้ว่ามีพยาธิ มีอุตุ มีกรรม และมีข้อหนึ่งว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เราทำอะไรไปในชาติก่อน อาจจะทำให้ผู้ถูกกระทำนั้นมาทวงบุญทวงคุณ หรือว่าทวงกรรมที่เราไปทำเขา ด้วยเหตุนั้นผมก็เชื่อเช่นนั้น เวลาทำบุญทำกุศลอะไรก็แล้วแต่ ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ก็ไม่ลืมที่จะใส่บาตรกรวดนํ้าให้ผู้ที่อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร ถ้ามีอะไรต่อกันก็ขออโหสิแก่กัน ทำอย่างนั้นด้วยความเชื่อ ผมไม่ทราบว่าถูกต้องตามคติหรือพระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ หรือเปล่า 

:อ.สุจินต์..... ขอให้พิจารณาโดยละเอียดถึงเรื่องการอุทิศส่วนกุศลและการอบรมเจริญเมตตา สำหรับการอุทิศส่วนกุศลนั้นเมื่อได้ทำกุศลแล้ว ก็สามารถจะอุทิศให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ได้ ที่สามารถจะล่วงรู้ เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ไม่ว่าจะเป็นผู้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่สำหรับความเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้ ขอให้พิจารณาจริงๆ ว่า แต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดจะดลบันดาลทุกข์สุขให้กับท่าน เพราะว่าทุกข์สุขของแต่ละท่านนั้นย่อมต้องเป็นผลของการกระทำคือกรรมของท่านเอง 

ส่วนการอุทิศส่วนกุศลขณะนั้นผู้อุทิศต้องมีเมตตาจิต จึงสามารถจะอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละบุคคลนั้นได้ ถ้าขาดเมตตาจิตในบุคคลใดก็จะไม่อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลนั้น เพราะฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศลจึงเป็นการเจริญเมตตา คือต้องมีความเมตตาจึงสามารถจะอุทิศส่วนกุศลในขณะนั้นได้ ถ้าคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น กับคิดถึงบุคคลที่ท่านกำลังไม่พอใจ แทนที่จะคอยโอกาสมีเมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่เห็นหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่กับคนซึ่งท่านกำลังเห็นและไม่พอใจนั้น อาจจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม ซึ่งความจริงเจ้ากรรมนายเวรไม่มี ทุกท่านมีกรรมเป็นของๆตน แต่ถ้าคิดถึงกรรมที่ตนได้เคยทำต่อบุคคลอื่น แล้วเรียกบุคคลที่ท่านกระทำด้วยว่าเป็นเจ้ากรรมของท่าน แล้วใคร่ที่จะเห็นเขามีความสุข ให้พ้นจากความผูกโกรธขณะนั้น ก็ควรเมตตาบุคคลที่ท่านเห็น แทนที่จะไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณา 

ส่วนการเจริญเมตตานั้นก็เจริญได้ต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น การเจริญเมตตาต่อคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่เกิดผล เพราะฉะนั้น ควรพิจารณาตามความเป็นจริงว่าบุคคลที่สิ้นชีวิตแล้วนั้น สูญสิ้นสภาพของการเป็นบุคคลซึ่งเคยเกี่ยวข้อง เคยมีความสัมพันธ์ เคยชอบหรือเคยชังต่อกันก็จบสิ้นไปแล้ว 

ฉะนั้น การที่สามารถมีเมตตาต่อบุคคลซึ่งเป็นที่ไม่รักได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตาจริงๆ มีกำลังของเมตตาที่สามารถจะเจริญได้แม้บุคคลซึ่งไม่เป็นที่รักก็เมตตาได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นสูญสิ้นการเป็นบุคคลนั้นแล้ว จะมีเมตตาต่อบุคคลนั้นทั้งๆ ที่ท่านเองก็รู้ว่าไม่มีบุคคลนั้นอีกต่อไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น ความคิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรก็ฉันนั้น ในเมื่อกรรมได้กระทำไปแล้ว และกรรมนั้นก็เป็นของท่านเอง และบุคคลที่ท่านกระทำกรรมในชาติไหนๆ ก็ตาม ในปัจจุบันชาตินี้จะเป็นใคร ถ้ากล่าวลอยๆ ว่าเจ้ากรรมนายเวร โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ย่อมเป็นโมฆะ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไหน แต่ถ้าระลึกได้ว่า ควรจะมีเมตตา ควรอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลทั้งหลายผู้สามารถล่วงรู้ได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ท่านก็สามารถจะเจริญเมตตาโดยอุทิศส่วนกุศลให้ แม้คนซึ่งไม่เป็นที่รัก จะดีกว่าการไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยไม่ทราบว่าชาติไหนท่านได้ทำกรรมอะไรกับบุคคลใด จึงจะเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน 

เพราะว่า แม้กรรมในชาติก่อนๆ ก็ยังนึกไม่ออก ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่า ในชาติก่อนๆ ได้กระทำกรรมอะไร จึงมีเจ้ากรรมนายเวร และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหนก็ไม่รู้ และถ้าเป็นในชาตินี้ ใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านบ้าง และเจ้ากรรมนายเวรซึ่งท่านได้กระทำกรรมต่อบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าล่วงลับไปแล้ว ถ้าล่วงลับไปแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลนั้นได้ แต่ไม่ใช่โดยฐานะซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรลอยๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหน 

สภาพธรรมะนั้นต้องไตร่ตรองพิจารณาเหตุผลจริงๆ เพราะถ้าไม่พิจารณาเหตุผลก็อาจจะกระทำไปโดยไม่เข้าใจว่าเป็นกุศลจริงๆ หรือไม่ เพราะเพียงแต่การกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นใครนั้น โดยมากมักจะกลัวเจ้ากรรมนายเวรเพราะคิดว่า เจ้ากรรมนายเวรจะทำให้ชีวิตของท่านลำบากเดือดร้อน แทนที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า อกุศลกรรมที่ท่านได้กระทำแล้วซึ่งเกิดเพราะกิเลสเป็นเหตุให้วิบากคือผลของกรรมนั้นๆเกิดขึ้นกับท่านเอง เมื่อท่านยังมีอกุศลกรรม ยังมีกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุให้ทำอกุศลกรรม อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นย่อมให้ผล คือทำให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นได้ในภายหลัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นโทษของกิเลสและอกุศลกรรมมากกว่ากลัวที่จะไม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร 

:กังขา ..... อย่างพวกที่ผูกพยาบาทกัน ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... โดยสถานไหน 

:กังขา ..... มีธรรมบทเรื่องนางยักษิณี มีการผูกเวรกันมาหลายชาติ 

:อ.สุจินต์..... เมื่อผูกเวรกันแล้ว หนทางที่จะหมดเวรได้นั้น คืออย่างไร 

:กังขา. ..... เรื่องที่จะหมดเวรก็คือว่า ตอนสุดท้ายนางยักษิณีจะไปจับลูกของผู้หญิงคนที่ผูกเวร เพื่อนำไปเป็นอาหาร ผู้หญิงนั้นวิ่งเข้าไปในวัด เอาลูกไปวางไว้ที่พระบาทของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้เรียกนางยักษิณีพร้อมด้วยผู้หญิงคนนั้น และทรงโปรดแสดงเทศนาจนคนทั้งสองเลิกผูกเวรกัน 

:อ.สุจินต์..... เพราะฉะนั้น ที่จะหมดเวรกันได้นั้น คืออย่างไร 

:กังขา..... คงจะเป็นเพราะกุศลจิตที่เกิดขึ้น 

:อ.สุจินต์..... คือไม่จองเวร ไม่โกรธกันต่อไปขณะใด ขณะนั้นก็หมดเวรต่อกัน คือกุศลจิตเกิดทั้งสองฝ่าย 

:กังขา..... ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำบุญ และมีเจตนาดีที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับผลบุญที่ตนกระทำด้วย ฝ่ายนั้นอาจจะเลิกคิดพยาบาทเป็นไปได้ไหม 

:อ.สุจินต์..... ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ทำกุศลแล้วก็อยากให้ผู้อื่นเกิดกุศลด้วย จึงบอกให้ผู้นั้นรู้ในกุศลนั้น เพื่อเขาจะได้อนุโมทนา แต่ถ้าพูดถึงเจ้ากรรมนายเวรหลังจากที่เราทำกุศลแล้ว จะรู้ได้อย่างไร 

:กังขา. ..... เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนที่โกรธกัน โดยบอกว่าไปทำบุญมา ขอให้ท่านได้รับผลบุญด้วย 

:อ.สุจินต์..... บอกให้เขารู้เพื่อที่เขาจะได้อนุโมทนา แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้ แล้วยังไปกลัวอีกว่าที่อุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อเขาจะได่ไม่มาทำให้เราเดือดร้อน ดูเหมือนกับว่าเขาสามารถจะดลบันดาลทั้งๆที่เราเป็นผู้กระทำกรรม เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของเราเอง ไม่ใช่คนอื่นสามารถสามารถกระทำกรรมให้เราได้ 

:กังขา.... คิดว่าเป็นอย่างนั้น 

:อ.สุจินต์..... ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าผูกโกรธ แต่ไม่ต้องไปคิดถึงกรรมในอดีตที่ผ่านมา แล้วไม่รู้ว่ากรรมอะไร เจ้ากรรมนายเวรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่ชอบใครก็คิดเสียว่าคนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร อย่างที่เราเคยคิดก็แล้วกัน จะได้ไม่โกรธเขา แทนที่จะต้องไปนั่งอุทิศส่วนกุศลให้ ก็เกิดเมตตาในบุคคลนั้นทันที 

:กังขา.. ..... เรื่องการแผ่เมตตามีคนเป็นจำนวนมากแผ่ไปไม่เฉพาะแต่เพื่อนฝูง ญาติมิตรเท่านั้น แต่แผ่ให้แก่โอปปาติกะทั้งหลายด้วย 

:อ.สุจินต์..... เมื่อทำกุศลแล้วก็ควรอุทิศส่วนกุศลที่กระทำแล้วให้ผู้ที่สามารถล่วงรู้ เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา แต่ไม่ใช่คิดว่าโอปปาติกะนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร คืออยากให้เข้าใจคำว่า เจ้ากรรมนายเวร ให้ถูกต้อง ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง เมื่อได้กระทำกรรมต่อใครไว้ และอยากจะให้หมดกรรมนั้น ก็ควรเกิดกุศลจิตแทนการผูกโกรธ 

:กังขา. ..... อยากทราบว่า ตามที่ยกข้อความในธรรมบทขึ้นมานั้น คือ กุลสตรีซึ่งในอดีตชาติเป็นภรรยาหลวงและภรรยาน้อย ภรรยาหลวงได้ทำให้ภรรยาน้อยแท้งลูกถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ถึงสิ้นชีวิต ภรรยาน้อยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... ที่ใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวร หมายความว่าอย่างไร 

:กังขา...... เมื่อภรรยาน้อยตายไปแล้ว ผูกอาฆาตว่าถ้าเกิดมาในชาติใดๆ จะขอกินลูกภรรยาหลวงทุกชาติ 

:อ.สุจินต์.... แล้วเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร 

:กังขา..... เพราะยังไม่เข้าใจ จึงเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... ไม่ใช่เป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่เป็นความผูกโกรธ ทุกท่านในขณะนี้อาจจะมีภัย หรืออาจจะมีศัตรูจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดในชาติปัจจุบันนี้ จะกล่าวว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันในอดีต หรือว่าจะเกิดมามีความผูกโกรธกันในปัจจุบันชาติ แต่บุคคลนั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายบุคคลใดได้ ถ้ากรรมของบุคคลที่ถูกกระทำนั้นไม่ถึงกาลที่จะให้ผล 

แต่ถ้าเป็นผู้มีกุศลสั่งสมมาดีพร้อมทั้งคติสมบัติ กาลสมบัติ อุปธิสมบัติ ปโยคสมบัติ แม้ว่าบุคคลอื่นจะโกรธหรือผูกโกรธอย่างไรก็ตาม ย่อมไม่สามารถจะทำอันตรายได้ เพราะแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน เมื่ออกุศลกรรมเป็นเหตุก็ทำให้เกิดกุศลวิบากจิต ฉะนั้นบุคคลอื่นจึงทำร้ายใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่บุคคลที่โกรธท่านก็อาจจะยังโกรธ จากวันเป็นเดือนเป็นปี จากชาตินี้ไปถึงชาติหน้าก็ได้ เป็นเรื่องของบุคคลซึ่งผูกโกรธเอง แต่ไม่ใช่ว่าบุคคลที่ผูกโกรธจะเป็นเจ้ากรรมที่สามารถจะดลบันดาลอะไรให้ เพียงแต่ว่าเมื่ออกุศลกรรมของท่านพร้อมที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบากเมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นโอกาสที่อกุศลวิบากจะเกิดขึ้น เป็นผลของอกุศลกรรมของท่านเอง 

:กังขา...... เรื่องของกรรมที่กล่าวมานั้นถูกต้อง แต่สำหรับรายนี้เมื่อเขาผูกโกรธแล้ว ผูกอาฆาตแล้ว ไปเกิดในชาติต่อไป และเกิดเป็นแมวในบ้านนั้น หลังจากภรรยาหลวงตายไปเกิดเป็นไก่ในบ้านนั้นก็เหมือนกัน เวลาไก่ออกไข่แมวจะกินทุกที เพราะฉะนั้น จะว่าเป็นกรรมของไก่ หรือเป็นการกระทำของแมว 

:อ.สุจินต์..... ถ้าไม่มีกรรมเป็นของตน บุคคลอื่นจะทำอันตรายได้หรือไม่ 

:กังขา. ..... ในที่นี้เป็นการกระทำของแมว ไม่ใช่การกระทำของไก่ 

:อ.สุจินต์..... ถ้าบุคคลนั้นไม่มีกรรมเป็นของตนเอง แมวนั้นจะทำร้ายได้ไหม 

:กังขา ..... จะเป็นการกระทำกรรมในอดีตชาติที่เป็นภรรยาหลวง แล้วให้ยาเขากินจนแท้งลูก กรรมนั้นหรือไม่ 

:อ.สุจินต์..... นอกจากพระผู้มีพระภาคฯ แล้ว บุคคลอื่นไม่สามารถจะพยากรณ์เรื่องของกรรมได้เลย ถ้าใครกล้าที่จะพยากรณ์กรรมว่าขณะนี้ท่านผู้นี้กำลังได้รับผลของกรรมนั้นในชาตินั้นๆ ก็ต้องเป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ว่าบุคคลนั้นสามารถล่วงรู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ทศพลญาณ อย่างพระญาณของพระผู้มีพระภาคฯ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลอื่นสามารถรู้ได้ 

แต่ข้อสำคัญนั้นคือ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 

นี่คือกรรมของตัวเอง เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวรอย่าเข้าใจผิด คิดว่าคนอื่นเป็นเจ้ากรรมนายเวรจริงๆ ซึ่งสามารถจะทำให้ท่านได้รับความทุกข์ต่างๆ แต่เป็นเพราะกรรมของท่านเองที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นเหตุให้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ 

:กังขา ..... ยิ่งฟังยิ่งงง เกรงว่าจะเป็นเรื่องของถ้อยคำหรือภาษาเท่านั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ความเข้าใจซึ่งครงกันคือว่า ให้มีอันเป็นไปอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่ท่านอาจารย์เรียกว่าเป็นกรรมของเราเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมนายเวร แต่ที่เชื่อๆกันคือกรรมของเราเองที่ไปฆ่าเขา ชาติต่อไปเขาก็มาฆ่าเรา แต่ทางภาษาเราถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร คือเราไปกระทำใครเขาไว้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า จะเป็นกรรมมาจากคนอื่น เป็นเพราะกรรมของเราเอง รวมทั้งพระโมคคัลลานะ ตอนสุดท้ายก็สิ้นชีวิตเพราะกรรม 

:อ.สุจินต์..... ทุกท่านเป็นผู้ที่มีกรรมเป็นของๆตนเอง ในปัจจุบันชาตินี้จำได้ไหมว่า ได้กระทำกรรมอะไร หรือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครบ้าง 

:กังขา..... บางทีก็จำได้ ไปทำอะไรให้ใครเจ็บชํ้านํ้าใจ เคยมีและก็ขออโหสิกรรมไปแล้ว 

:อ.สุจินต์..... เมื่อคนนั้นสิ้นชีวิตไป แล้วเกิดเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ยังจะถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนเก่าอยู่อีกหรือไม่ 

:กังขา..... เรื่องนี้ไม่รู้ 

:อ.สุจินต์..... แต่ละคนไม่ได้มีกรรมกรรมเดียว ได้กระทำกรรมกันมาแล้วมาก เคยฆ่าสัตว์มาแล้ว สัตว์ที่ถูกฆ่านั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า และสัตว์จะจำได้ไหมว่าเคยถูกใครฆ่า เช่น ไก่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไก่ตัวนั้นยังจะจำได้ไหมว่าเขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน 

:กังขา..... คงจำไม่ได้แน่นอน 

:อ.สุจินต์..... จำไม่ได้ทั้งนั้น คือคนที่กระทำกรรมก็จำไม่ได้ว่าได้กระทำกรรมต่อบุคคลนี้ เพราะว่าตัวเองก็ไปเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ก็ลืมไปแล้วว่าชาติก่อนได้เคยกระทำกรรมอะไรไว้กับใคร จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครก็จำไม่ได้อีก เพราะว่าจำเรื่องของชาติก่อนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวรก็เป็นเรื่องของความคิดเท่านั้น ต่างคนต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกันทั้งนั้น โดยลักษณะดังกล่าวข้างต้นในสังสารวัฏ 

:กังขา..... ใช่ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเราไม่สามารถจะมีญาณหยั่งรู้อย่างพระผู้มีพระภาคฯ 

:อ.สุจินต์...... ควรพิจารณาอย่างไรเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เช่น ไก่ที่ถูกฆ่าไปตัวหนึ่ง ไก่ตัวนั้นไปเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน แม้เราเองในชาตินี้ก็ไม่รู้ว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน 

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังอุทิศส่วนกุศลให้เรา ซึ่งอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาในชาติก่อนเราก็ไม่รู้อีก เพราะว่าในชาตินี้เราจำชาติก่อนไม่ได้เลย ชาตินี้ถ้าใครได้ทำอกุศลกรรมกับเรา ถ้าจะคิดว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เราก็จำไม่ได้ว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเมื่อไหร่ เขาเองก็จำเรื่องกรรมที่ทำต่อกันไม่ได้ ต่างคนต่างก็จำกรรมที่เคยกระทำในชาติก่อนๆไม่ได้ทั้งนั้น แล้วจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างไร 

:กังขา ..... กระผมจึงว่าน่าจะเป็นเรื่องของภาษาตามความเข้าใจของกระผม กระผมคิดว่าเราจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรใครไว้ แต่มีความเชื่อว่าเราคงเคยกระทำอะไรไว้ และเดี๋ยวนี้เรามีจิตที่บริสุทธิ์คิดว่าจะอุทิศส่วนกุศลให้ใครก็แล้วแต่ที่ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร 

:อ.สุจินต์..... ท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ถามหรือไม่ 

ผู้ฟัง ..... เรื่องนี้ตอบแทนได้เลยว่าไม่มีใครรู้ใครทั้งสิ้น 

:อ.สุจินต์..... แต่ก็อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน และเขาก็ไม่รู้เลยว่าท่านอุทิศส่วนกุศลให้ เพราะเขาจำชาติก่อนไม่ได้ ขณะที่อยู่ในชาตินี้ พบใครก็ไม่รู้ว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันหรือไม่ เพราะฉะนั้นแทนที่จะนึกว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร แทนที่จะมีเวรโดยการผูกโกรธต่อกันและกัน ก็ควรมีเมตตาต่อกันทันที จึงหมดเวรได้ ไม่ใช่ต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยไม่รู้ว่าผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในที่นี้อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ได้ ทั้งๆ ที่อุทิศส่วนกุศลให้ก็ยังไม่รู้ว่าใครอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง 

:กังขา ..... ถ้ามีคนเขาอิสสาริษยาเรา เราจะทำอย่างไรจึงจะให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด ถ้าเราทำบุญทำกุศลแล้วบอกให้เขาทราบ เพื่อให้เขาอนุโมทนาด้วย แต่เมื่อคิดว่าเขามีจิตริษยาจึงไม่บอกให้เขาทราบ และจะมีวิธีใดที่จะบอกเขาได้ 

:อ.สุจินต์..... รู้ได้อย่างไรว่าเขาอิสสาริษยา 

:กังขา..... จากเหตุการณ์ประมวลมาหลายๆ อย่าง ซึ่งคนอื่นคงไม่รู้ แต่เราสามารถรู้ได้ 

:อ.สุจินต์..... ใจของคนอื่น ใครจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง 

:กังขา..... สมมติว่าเราทำบุญแล้วจะให้เขาอนุโมทนาด้วย เราจะบอกเขาว่าอย่างไรดี 

:อ.สุจินต์...... ข้อสำคัญที่สุดคือ ผู้มีอกุศลจิตเป็นผู้ที่รู้ตัวเองว่ามีอกุศลจิตหรือไม่ ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่กำลังมีอกุศลจิต รู้ตัวเองหรือไม่ว่าตนเองกำลังมีอกุศลจิต หรือคิดว่าคนอื่นทั้งนั้นที่อิสสาริษยา นี่เป็นสิ่งต้องพิจารณา แทนที่จะพิจารณาว่าคนอื่นริษยา ควรพิจารณาจิตของตนเองดีกว่า ว่าจิตของเราในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล 

:กังขา..... ก็ต้องเป็นอกุศลแน่ 

:อ.สุจินต์..... เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปมุ่งหวังเกินเลย ไปแก้ไขคนอื่น ก็ขอให้ทุกคนได้พิจารณาจิตของตนเอง ผู้ใดเป็นผู้ฉลาดย่อมแก้ไขจิตของตนเองด้วยการพิจารณาจิตของตนเองว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะว่าบางคนอาจมุ่งคิดจะแก้ไขบุคคลอื่นที่ริษยา แต่ความจริงนั้นควรพิจารณาจิตของตนเองก่อนว่าขณะที่คิดว่าเขาริษยา จิตของเราเองเป็นอกุศลหรือกุศล 

ถ้าจะกล่าวถึงจิตของผู้ที่อุทิศส่วนกุศลก็เป็นกุศลจิต เป็นกุศลกรรมของบุคคลที่อุทิศกุศลนั้น และผู้ที่รู้และอนุโมทนาก็เป็นกุศลจิตเป็นกุศลกรรมของผู้ที่อนุโมทนาเอง 

อย่าลืมว่าถ้าจะคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรก็คือ คิดถึงบุคคลที่กำลังมองเห็นอยู่นี้เอง โดยไม่ทราบว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันในชาติไหน ถ้าจะคิดว่าในสังสารวัฏอาจจะเตยเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติหนึ่งชาติใด ก็มีเมตตาต่อผู้ที่กำลังพบเห็นทันที แทนที่จะรอโอกาสเมื่อไปทำบุญแล้วจึงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมองไม่เห็น





ซื้อขายอะไรได้บ้างในตลาด Forex

ง่ายๆเลยก็คือ เงิน คิดง่ายๆว่าการซื้อขายสกุลเงินเหมือนกับการซื้อขายหุ้นของทั้งประเทศหรือเหมือนกับการที่คุณซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ อัตราคู่สกุลเงินจะขึ้นหรือลงนั้นขึ้นอยู่กับการประเมินสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันและอนาคต

ถ้าคุณซื้อเงินเยนของญี่ปุ่นก็เหมือนกับว่าคุณได้ซื้อ "หุ้น" ของประเทศญี่ปุ่น คุณได้เดิมพันกับสถานภาพทางเศรษฐกิจและการเติบโตของประเทศญี่ปุ่น

การซื้อขายคู่สกุลเงินนั้น เหมือนกับการเปรียบเทียบ สมรรถภาพทางเศรษฐกิจของสองประเทศ

Monday, 23 September 2013

“ในหลวงทรงคิดแก้ปัญหาน้ำไว้รอบด้าน” โดย ปราโมทย์ ไม้กลัด


ในหลวงทรงคิดแก้ปัญหาน้ำไว้รอบด้าน
โดย ปราโมทย์ ไม้กลัด

41

กล่าวได้ว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ทรง เปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพหลากหลายด้าน แม้แต่เรื่องน้ำและปัญหาอุทกภัยที่คนไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
พระองค์ก็ทรงวางแนวทางในการป้องกันและแก้ไขมานานนับสิบปีแล้ว มีโครงการในพระราชดำริออกมามากมาย เพียงแต่ฝ่ายบริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำไปปฏิบัติหรือไม่ เท่านั้น ?
ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำอย่าง ปราโมทย์ ไม้กลัด‘ อดีต อธิบดีกรมชลประทาน อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งได้ติดตามถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานานนับสิบปี
ได้ถ่ายทอดถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านในการทรงงานด้านน้ำในหลากหลายแง่มุม อันนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจของคนไทยที่อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
**ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้มาทำงานเรื่องน้ำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่เมื่อไร
คือผมทำงานอยู่กรมชลประทาน และได้ไปทำงานถวายพระองค์ท่านตั้งแต่ 2520 ผมทำงานเป็นวิศวกรพิจารณาโครงการสนองพระราชดำริ ตอนนั้นก็ยังเดินตามหลังนายช่างใหญ่ ตามหลังอธิบดี จนกระทั่ง 2527 ก็ได้ทำงานในโครงการพระราชดำริในฐานะผู้แทนของกรมชลประทานอย่างเต็มตัว
**เหตุใดพระองค์จึงสนพระราชหฤทัยเรื่องน้ำเป็นพิเศษ
ปัญหาเรื่องน้ำเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราช หฤทัยมากที่สุด เนื่องจากราษฎรไทยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพที่ต้อง พึ่งพาน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงมุ่งมั่นที่จะทรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ พระองค์ท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพในเรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างมาก ซึ่งกระบวนการการทรงงานจากที่ผมได้ติดตามพระองค์ท่านมาโดยตลอดก็จะเห็นว่า พระองค์ทรงงานแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำใน 3 ด้านด้วยกัน คือ
การแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ ซึ่งพระองค์ท่านจะมุ่งไปในจุดที่การทำงานของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล แร้นแค้น เพราะพระองค์ท่านได้รับทราบปัญหาจากฎีกา หรือจดหมายร้องทุกข์ของประชาชนที่ส่งมาถึงพระองค์ท่าน
การแก้ปัญหาของพระองค์ก็จะยึดหลักการที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ อย่างหลักการเรื่องวิศวกรรมน้ำ พระองค์ก็จะดูว่าถ้าผืนดินแห้งตรงนี้ควรทำอะไร ถ้าผันน้ำจากธรรมชาติควรทำอย่างไร รูปแบบที่จะดำเนินงานก็จะเป็นการผสานระหว่างหลักการทางเทคนิคและหลัก ธรรมชาติของน้ำ
การปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่ว่าจะเกิดน้ำท่วมในภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินลงไปในพื้นที่เพื่อทอดพระเนตรปัญหา ทรงช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา
พระองค์ก็จะเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังข้อมูลและระดมความเห็น หามาตรการแก้ปัญหาภายใต้โครงการบรรเทาอุทกภัยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือฝ่ายรัฐบาลเขาก็ว่าของเขาไป ขณะที่พระองค์ก็มุ่งลงไปในพื้นที่ซึ่งเกิดน้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินถล่ม ย่านเศรษฐกิจในตัวเมืองที่ได้รับผลกระทบ
การแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเสีย หรือน้ำเค็ม น้ำกร่อย สำหรับการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียนั้นพระองค์ท่านก็ทรงศึกษาทดลองในหลายลักษณะ
 เช่น โครงการบึงมักกะสัน ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพน้ำในบึงซึ่งมีการเน่าเสียโดยใช้เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ’’ คือผักตบชวาเป็นตัวกรอง โครงการบึงพระราม 9 ซึ่งบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีใช้เครื่องเติมอากาศ แบบทุ่นลอย
 นอกจากนั้นยังมีโครงการที่เรารู้จักกันดีคือกังหันน้ำชัยพัฒนา ซึ่งพระองค์ทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมืออุปกรณ์แบบง่ายๆในการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้หลักการตีน้ำเพื่อเติมอากาศ
ส่วนการแก้ปัญหาน้ำเค็ม- น้ำกร่อยนั้นคนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาและทำโครงการแก้ไข ปัญหาน้ำในลักษณะนี้ด้วย โครงการนี้เกิดจากการที่พระองค์ทรงเป็นห่วงราษฎรว่า  ถ้าน้ำเค็มน้ำกร่อยไหล เข้าไปในพื้นที่การเกษตร ในเรือกสวนไร่นาจะทำอย่างไร
พระองค์จึงโปรดให้ดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำขึ้น เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ มีการสร้างประตูบังคับน้ำกั้นแม่น้ำปากพนังเพื่อกักน้ำจืดไว้และกันน้ำทะเล ไม่ให้เข้ามา หรือโครงการพัฒนาลุ่มน้ำบางนรา จ.นราธิวาส ซึ่งใช้หลักการเดียวกัน
**พระองค์ทรงคิดแก้ปัญหาน้ำไว้รอบด้าน 
       ใช่ครับ น้ำน้อย น้ำไม่มี พระองค์ก็ทรงหาน้ำให้ น้ำมากเกินไปจนเกิดอุทกภัยก็เกิดโครงการนั้นโครงการนี้ขึ้นมา อย่างกรุงเทพมหานครก็มีโครงการในพระราชดำริของพระองค์ท่านเยอะ
ในภาคใต้ อย่างหาดใหญ่ นครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดน้ำป่าไหลหลาก พระองค์ก็ทำโครงการเพื่อแก้ปัญหา พื้นพี่ไหนเกิดปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเน่าเสีย น้ำเค็ม น้ำกร่อย ก็ทรงคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้
** หลายๆ ครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินลงไปดูพื้นที่น้ำท่วมด้วยพระองค์เอง
        ใช่ เกิดปัญหาที่ไหนพระองค์จะเสด็จลงไปเลย สมัยที่พระองค์ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงพระองค์ท่านจะเสด็จไปยังพื้นที่ เลย อย่างๆน้อยก็ต้องทอดพระเนตรพื้นที่น้ำท่วม ทรงลงไปดูปัญหา ไปให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน
หลังจากนั้นก็จะทรงปรึกษากับวิศวกรน้ำ กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าจะทำอย่างไรกัน ทรงเรียกประชุม ให้เอาภาพถ่ายดาวเทียมมา ภาพถ่ายทางอากาศมา เอาข้อมูลมา วิเคราะห์กันว่าจะทำยังไง
พระองค์ท่านเสด็จไปทุกพื้นที่ แต่ถ้าไกลมากพระองค์ก็อาจจะเสด็จไปไม่ไหว ก็จะทรงเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาถวายรายงานและทรงแนะนำแนวทางปฏิบัติ คือพระองค์ทรงติดตามข้อมูลต่างๆทั้งในเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และเชิงเศรษฐกิจ จึงทรงมองปัญหาต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง
**เท่าที่อาจารย์ติดตามถวายงานพระองค์ท่านในการแก้ปัญหาน้ำท่วม มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นกี่ครั้ง
ก็จะมีน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯเมื่อปี 2526 ตอนนั้นพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังอยู่กันแบบธรรมชาติ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างมาก เมื่อเกิดน้ำท่วมก็ไม่มีอะไรมากีดขวาง น้ำก็ไหลไปตามธรรมชาติ คลองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองลาดพร้าว คลองแสนแสบ ก็รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ตอนนั้นอยู่กันแบบเอ้าท่วมก็ท่วม พระองค์ท่านก็ทรงเสด็จไปดุสภาพพื้นที่เพื่อให้กำลังใจคนทำงานถึง 6-7 ครั้ง
ต่อมาปี 2538 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ เป็นปีที่เกิดโกลาหลมากที่สุดเพราะน้ำมวลใหญ่มันมา แต่ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน พระองค์ทรงเรียกประชุมก่อนที่น้ำมวลใหญ่จะมาถึง
ตอนนั้นน้ำใหญ่มันก็มาโจมตีเยอะแต่ความเสียหายมันไม่มากเหมือนในปีนี้ ตอนนั้นสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่มี น้ำท่วมยังกับทะเลเลย แต่กรีนเบลต์ ฟลัดเวย์ ยังทำงานได้ น้ำระบายออกได้ตามธรรมชาติ ไม่มีใครไปห้าม ก็สูบน้ำออกอ่าวไทยกันโกลาหล สูบออกตามแนวฟลัดเวย์ เขตเศรษฐกิจก็โกลาหลพอสมควรแต่ก็ป้องกันได้ น้ำไม่ทะลุสนามบินดอนเมือง ไม่ทะลุถนนวิภาวดี ไม่ทะลุลาดพร้าวหรอก
ตอนนั้นถนนราชชนนี ถนนรัชดาภิเษกมีน้ำท่วม ก็วิ่งรถฝ่าน้ำท่วมกัน คลองมหาสวัสดิ์ก็น้ำท่วมสูงต้องทำคันกั้นน้ำฉุกเฉินที่วัดบูรณาวาส ก็ไปช่วยกัน แต่ปีนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลายไป มันไม่โกลาหลเท่าปี 2554
ปัจจุบันมันมีสิ่งปลูกสร้างเยอะ หมู่บ้านจัดสรร อะไรต่างๆเกิดขึ้นเยอะ แต่ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะพระพลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน
น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เมื่อปี 2531 ตอนนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่ พระองค์ทรงเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาประชุมด่วน แล้วก็ทรงบัญชาการ วางแนวทาง พวกเราก็วิ่งกันวุ่นเลย คือพระองค์ทรงติดตามข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ทรงคาดหมายเหตุการณ์ข้างหน้าได้ ทรงเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่น้ำยังไม่ลงมาเลย
พวกเราที่เป็นข้าราชการซึ่งรับใช้ถวายงานพระองค์ท่านก็ต้องตื่นตัว หาข้อมูล และถวายรายงานพระองค์ท่านตลอด หรือแม้แต่ภัยที่มันเกิดแล้วพระองค์ท่านก็ทรงคาดหมายถึงผลกระทบที่ตามมาได้ พระองค์ทรงเป็นนักคิดนักวิเคราะห์
พระราชดำรัสที่พระองค์พระราชทานก็เป็นหลักคิดที่รัฐบาลหรือบุคคลที่ เกี่ยวข้องต้องนำไปขบคิดและขับเคลื่อน
**จากที่อาจารย์ได้ติดตามถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานาน ได้เห็นความเหนื่อยยากของพระองค์อย่างไรบ้าง
ภาพที่เหล่าข้าราชบริพารและข้าราชการที่ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านพบ เห็นมาโดยตลอดก็คือพระองค์ท่านทรงมุ่งที่จะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับ ประชาชน
 โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในชนบท พระองค์ท่านมักเสด็จไปประทับตามภูมิภาคต่างๆ คราวละหลายๆเดือน เสด็จพระราชดำเนินทั้งปี เสด็จออกแถบทุกวัน เสด็จไปเยี่ยมเยียนประชาชน พระราชทานสิ่งของ พระราชทานโครงการ พระราชทานงาน
ความยากลำบากของพระองค์ท่านนี่ไม่น้อยหรอกครับ เสด็จออกไปในชนบทนี่ไม่มีสบาย ทรงเสียสละพระวรกายทรงงานด้วยความเหนื่อยยาก แต่ว่าพระองค์ท่านไม่ได้คำนึกถึงความเหนื่อยยากเหล่านี้เลย กลับทรงสนุกกับการทรงงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน
พระองค์ท่านมักจะรับสั่งว่า ฉันสนุกกับการทำงาน” พระองค์ท่านไม่เคยตรัสว่าเหนื่อย แต่ภาพที่พวกเราเห็นอยู่เสมอเวลาที่พระองค์ทรงงานก็คือพระเสโท(เหงื่อ)ที่ ชุ่มโชกฉลองพระองค์
คือทรงเสด็จไปทุกภาค ทุกพื้นที่ เป็นเวลานับสิบๆปี ไม่เคยทรงเบื่อหน่าย พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อพระองค์เอง แล้วก็ไม่เคยไปเกี่ยวข้องวอแวกับรัฐบาล มีแต่ทรงงานเพื่อช่วยรัฐบาล
**หลายครั้งประชาชนก็ได้เห็นภาพพระองค์ท่านเสด็จลงลุยน้ำด้วยพระองค์เอง
ใช่ครับ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร สภาพธรรมชาติจะเลวร้ายหรือมีอุปสรรคต่างๆพระองค์ท่านก็ไม่ทรงรังเกียจ น้ำท่วม ร้อนแล้ง พระองค์ท่านก็ทรงบุกไปทุกที่ เสด็จขึ้นดอย ในชนบทห่างไกลก็ทรงเสด็จไปเสมอ
พระกระยาหารที่พระองค์เสวย  ขณะเสด็จลงพื้นที่ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ พระองค์เสวยง่าย ไม่ได้ยึดว่าจะต้องเป็นแบบไหน เวลาเสด็จลงพื้นที่ก็มักจะมีพระกระยาหารใส่กล่องไว้ในรถยนต์พระที่นั่ง
เวลาทรงงานกระทั่งดึก ถึงทุ่ม ทุ่ม ก็จะเสวยแบบนี้ เจ้าหน้าที่จะก็เตรียมเครื่องเสวยไป ก็จะเป็นแบบง่ายๆ ผมเองสนองงานรับใช้พระองค์ท่านก็ได้มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ท่าน บ่อยๆ อาหารที่พระองค์ท่านเสวยก็เป็นอาหารปกติเหมือนที่พวกเรากินกันนี่แหล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทย เป็นแกงเผ็ด แกงจืด ผัดผัก แล้วอาจจะมีอาหารตามประเพณีฝรั่งบ้าง
**ช่วงที่พระองค์ท่านทรงงาน ทรงพระประชวรบ้างไหม
ก็มีทรงพระประชวรเป็นคราวๆ แต่ในสมัยนั้นพระพลานามัยยังแข็งแรง แต่มาระยะหลัง ตั้งแต่ 2542 เป็นต้นมา พระพลานามัยของพระองค์ท่านไม่สู้แข็งแรง แล้วก็ทรงพระประชวรบ่อย อย่างที่เรารับรู้รับทราบกัน เพราะว่าพระองค์ทรงงานหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ ไม่ได้ทะนุถนอมพระวรกาย ทรงใช้พระวรกายอย่างหนัก
**ขณะนี้พระองค์ทรงประชวรและประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ยังเสด็จลงมาทอดพระเนตรปริมาณน้ำที่ท่าน้ำศิริราชอยู่
คือพระองค์ทรงเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในขณะนี้ ทรงเป็นห่วงประชาชนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วม พร้อมทั้งได้พระราชทานถุงยังชีพ  เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แม้พระองค์จะทรงงานไม่ไหว แต่ก็ยังทรงนึกถึงประชาชนของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
**จากที่ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน อาจารย์ประทับใจพระองค์ท่านในเรื่องใดบ้าง
ในชีวิตที่ทำงานถวายพระองค์ท่านก็มีความประทับใจเกิดขึ้นมากมาย คือได้เห็นพระองค์ท่านทรงงานตลอดเวลา ทรงเป็นแบบอย่างที่คนไทยควรน้อมนำมาเป็นต้นแบบ
พระองค์ทรงงานมาตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยทรงหยุดพัก ทรงงานตลอดเวลาเพื่ออาณาประชาราษฎร์ ทำให้ผมเองระลึกอยู่เสมอว่าผมเป็นข้าราชการคนหนึ่งที่ทำงานถวายพระราชา  เราก็ต้องมีหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ แล้วก็ดูพระองค์ท่านเป็นตัวอย่าง
ประการที่สอง พระองค์ทรงเป็นนักคิด ทรงคิดตลอดว่าจะทำโน่นทำนี่ แล้วก็รับสั่งออกมาเป็นโครงการพระราชดำริ แล้วก็ทรงขยัน ทรงรู้รอบ รอบรู้ ทั้งในเชิงวิชาการ เชิงเทคนิค ทรงรู้ทุกเรื่อง อย่างผมก็รู้แค่เรื่องน้ำ
แต่พระองค์ท่านทรงรู้ทุกเรื่อง เรื่องน้ำ เรื่องอากาศ เรื่องฝนเทียม แม้แต่เรื่องสังคม ปรัชญา ภาษาศาสตร์ ทรงรอบรู้หมด ผมจึงเทิดทูนพระองค์ท่านว่าทรงเป็นปราชญ์ และทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่ว่าพระองค์กลับทรงอ่อนน้อมถ่อมพระองค์ ไม่ทรงถือพระองค์เลย
เวลาเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนก็ทรงตรัสกับประชาชนอย่างเป็นกันเองมาก ทรงน้อมพระองค์เข้าไปหาชาวบ้านที่มารับเสด็จ พระราชจริยวัตรของพระองค์ดูนุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา
เราก็มานึกถึงข้าราชการบางคนที่ไม่ได้เรื่องเลย ชอบวางตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย อย่างนี้ใช้ไม่ได้
**มีพระบรมราโชวาทใดบ้างที่ทำให้อาจารย์จดจำมาถึงทุกวันนี้
เยอะมากครับ โดยเฉพาะเรื่องของการทำงาน มีพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ติดตรึงอยู่ในใจตลอดมาคือ พระกระแสรับสั่งซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งกับผมและผู้บังคับบัญชาของผมโดยตรง เลย คือ นักพัฒนาต้องทำงานแบบปิดทองหลังพระ คือให้เรามุ่งทำงานอย่างทุ่มเท อย่าทำงานเพื่อหวังประโยชน์ หวังรางวัล เพราะถ้าทำงานเพื่อหวังประโยชน์มันก็จะต้องมองหน้ามองหลัง ซึ่งข้าราชการส่วนใหญ่เป็นแบบนี้
นอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงมีพระบรมราโชวาทต่อมาว่า ข้าราชการต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หากทำหน้าที่ได้สำเร็จจะเป็นรางวัลอันประเสริฐ” ซึ่งชั่วชีวิตการทำงานของผมก็ยึดถือสิ่งนี้มาตลอด
และทุกครั้งที่พระองค์ท่านทรงงานเสร็จและเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระองค์จะรับสั่งกับข้าราชบริพารและข้าราชการที่ตามเสด็จอยู่เสมอว่า คิดให้ดี คิดให้ละเอียด คิดให้รอบคอบ หากคุ้มก็ทำ คำว่าคุ้มของพระองค์ท่านไม่ได้หมายถึงความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์นะครับ แต่หมายถึงคุ้มค่าต่อประชาชน ทำไปแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชนก็ถือว่าคุ้ม ตรงนี้เป็นพระราชดำรัสที่ผมระลึกอยู่เสมอเวลาทำงาน ทำให้เรามีสติ จะทำอะไรก็ต้องศึกษาให้ละเอียด และเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
เห็นได้ชัดว่าในใจของพระองค์ท่านมีแต่คำว่า ประชาชน
พระองค์ทรงงานอย่างหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ
ก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
นี่ คือ ในหลวงของปวงชนชาวไทย
………………………………..
ขอขอบคุณ ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับ วันที่ 03-12-2554